ในขณะที่เรากำลังวางใจว่า เรื่องราวการยอมรับความหลากหลายทางเพศได้ถูกรับรู้เป็นวงกว้างมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดนัก จากกรณีล่าสุดที่มีการเปิดเผยว่า จิมมี่ พิฆเนศ สุขหยิก นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งล่าสุด นอกจากฝีมือการแข่งขันที่เก่งกาจแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นของจิมมี่ก็คือ บุคลิกการแสดงออกที่มีความเป็นตัวเอง ทั้งการถอนสายบัวขอบคุณผู้ชม หรือการหมุนตัวแสดงความดีใจ ดังที่หลายคนน่าจะเห็นคลิปไวรัลไปแล้ว การแสดงออกที่แสนจะปกตินี้กลับกลายเป็นประเด็นการเลือกปฏิบัติทางเพศได้อย่างไร?

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นขึ้นมา เมื่อมีการเปิดเผยจาก สมาพันธ์คิกบ็อกซิ่งประเทศไทย ว่า ทางสมาพันธ์คิกบ็อกซิ่งเอเชีย ไม่พอใจกับการแสดงออกดังกล่าว พร้อมทั้งบังคับให้จิมมี่ต้องเซ็นต์สัญญาว่าจะไม่แสดง “กริยาที่ไม่เหมาะสม” อีก หากฝ่าฝืนจะไม่สามารถแข่งขันต่อได้ และถึงแม้ว่าแข่งขันไปแล้ว ผลการแข่งขันเป็นอย่างไรก็จะถูกปรับแพ้ ซึ่งทางสมาพันธ์คิกบ็อกซ์ซิ่งก็ได้ยืนยันคำพูดนี้ด้วยการเปิดเผยสัญญาดังกล่าวออกมา

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การเคลื่อนไหวของทางสมาพันธ์คิกบ็อกซิ่งประเทศไทย ที่ไม่ได้ออกมาในทิศทางของการยอมรับความไม่เป็นธรรมครั้งนี้ แต่ทางสมาพันธ์เลือกที่จะยื่นข้อเสนอว่า หากจิมมี่ไม่สามารถแข่งขันต่อได้ ทางสมาพันธ์ก็จะถอนทีมที่เข้าแข่งขันทั้งหมดออกจากการแข่งขัน พร้อมทั้งแสดงการสนับสนุนและเคารพในจุดยืนและตัวตนของจิมมี่จนถึงที่สุด

นับได้ว่าเป็นการโต้ตอบที่น่าชื่นชม และเหมาะสมกับกระแสของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างชัดเจน เพราะในยุคสมัยที่ความหลากหลายไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอีกต่อไป การแสดงออกของใครก็ตามไม่ว่าจะเป็น LGBTQ+ หรือไม่ หากการแสดงออกนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ไม่ควรจะเป็นข้ออ้างในการเลือกปฏิบัติใด ๆ ทั้งสิ้น ชวนให้ตั้งคำถามว่า เราควรจะให้ความสนใจในความสามารถของคนผู้นั้นมากกว่าไม่ใช่หรือ?

ภาพและข้อมูลจาก: สมาคมกีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งประเทศไทย Kickboxing Association of Thailand