เป็นที่น่าชื่นชมกับข่าวการประกาศงดใช้ถุงพลาสติกของบรรดาห้างค้าปลีกต่างๆ
ในไทย ไม่ว่าจะเป็น ห้างเซ็นทรัล, เทสโก้โลตัส หรือแม้แต่ เซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ
ทว่า
สิ่งนี้เราเห็นความเคลื่อนไหวมาสักพักใหญ่แล้วจากแบรนด์และคอร์ปอเรทระดับโลกมากมาย
เรียกได้ว่าการดำเนินนโยบายธุรกิจสีเขียว (Green
Business) กลายเป็น “เมกะเทรนด์”
ของโลกไปแล้ว
ปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือปัญหาขยะพลาสติกล้นโลกกำลังสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ว
นั่นเพราะเราทุกคนตระหนักดีกว่าชีวิตไม่อาจดำรงอยูได้หากปราศจากสภาพแวดล้อมที่ดีสะอาดและสมบูรณ์
ผู้คนจึงหันมาใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและบริโภคสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
และด้วยความสนใจนี้เองทำให้บริษัทต่างๆ ต้องให้ความใส่ใจกับการดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วยเช่นกัน
บริษัทต่างๆ ต้องปรับตัวตามความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับนโยบายสีเขียวขององค์กร
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลายๆ แบรนด์ทั่วโลกจึงหันมาสู่การสร้าง ‘กลยุทธ์กรีน’ กันมากขึ้น
เราลองมาดูสิว่ามีแบรนด์ไหนกันบ้างที่บิ๊กมูฟในเรื่องนี้
อาดิดาส (adidas)
อาดิดาส ผู้นำเทรนด์สปอร์ตแฟชั่นระดับโลก ที่สร้างความฮือฮาในวงการแฟชั่นและกลุ่มอนุรักษ์ด้วยการเปิดตัวโปรเจ็คต์ Adidas X Parley Ocean Plastic ออกมาเป็นรองเท้า
UltraBOOSt Uncaged Parley
สนีกเกอร์ที่วัสดุทำจากการรีไซเคิลขวดพลาสติกชายฝั่งทะเล ซึ่งมีเพียง 7,000 คู่เท่านั้น ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค อาดิดาส
จึงประกาศอย่างยิ่งใหญ่ว่า บริษัทจะเปลี่ยนมาใช้พลาสติกรีไซเคิลทั้งหมดภายในปี 2567 นอกจากนี้ จะหยุดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ในสำนักงาน เอาท์เล็ท
โกดังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งจะช่วยลดปริมาณพลาสติกลงได้ถึง 40
ตันต่อปี ซึ่งจะเริ่มดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ปี 2561
และเมื่อเร็วๆ นี้ ยังมีการเปิดตัวรองเท้ารุ่น FUTURECRAFT.LOOP ที่ถูกนิยามว่าเป็น
รองเท้าวิ่งที่สามารถรีไซเคิลได้สมบูรณ์ 100%
การผลิตรองเท้ารุ่นนี้มีกระบวนการการออกแบบโดยใช้เส้นด้ายและเส้นใยที่มาจากขยะพลาสติกที่เก็บได้จากท้องทะเล
ที่สำคัญคือ รองเท้ารุ่นนี้เมื่อใช้งานไปแล้วเกิดการผุพังก็สามารถส่งกลับมาที่โรงงานแล้วทำการรียูส
รีไซเคิล เพื่อผลิตเป็นรองเท้าคู่ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น
สิ่งที่ adidas ทำคือการไม่สร้างขยะเพิ่มขึ้นอีก เป็นบทพิสูจน์ว่า
adidas สามารถผลิตรองเท้าวิ่งที่มีประสิทธิภาพได้โดยที่สร้างจากขยะแต่ไม่ทำให้กลายเป็นขยะให้กับโลกเลย
สตาร์บัคส์
(Starbucks)
ปริมาณการใช้แก้วกระดาษและแก้วพลาสติกแบบ Single Use หรือใช้คร้ังเดียวแล้วทิ้ง มีจำนวนการใช้งานทั่วโลกมากกว่า 6
แสนล้านใบต่อปี ซึ่งในจำนวนนี้เป็นแก้วที่มาจาก “สตาร์บัคส์” อยู่ราว 1% ดังนั้น
เพื่อแสดงว่าเป็นแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ สตาร์บัคส์จึงตัดสินใจใช้แก้ว
Reusable Cup ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
โดยได้รับการตอบรับอย่างดี ทำยอดจำหน่ายได้มากกว่า 25 ล้านใบทั่วโลก นอกจากนี้
ล่าสุด ยังประกาศเป้าหมายยกเลิกการใช้หลอดพลาสติกในร้านสตาร์บัคส์กว่า 30,000 สาขาทั่วโลกในปีหน้า รวมทั้งจะใช้ฝาครอบแก้วที่มีช่องเล็กๆ
ซึ่งทำจากพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งผู้บริโภคสามารถยกดื่มได้เลยโดยไม่ต้องใช้หลอด
รวมทั้งจะมีการนำหลอดกระดาษหรือหลอดพลาสติกที่ย่อยสลายได้มาใช้แทนด้วย
สำหรับเมืองไทยนั้น เมื่อวันคุ้มครองโลก 22 เมษายนที่ผ่านมา
สตาร์บัคส์ไทยก็ร่วมรณรงค์ให้คนหันมาพกแก้วส่วนตัวเพื่อลดปริมาณขยะ พร้อมกับวางจำหน่ายแก้ว
Reusable Cup ทุกสาขาทั่วไทย
โดยเป็นคอลเลคชั่นพิเศษที่ผลิตจากพอลิโพรไพลีนวัสดุที่ทำให้แข็งแรงกว่าแก้วกระดาษทั่วไป
ซัมซุง
(Samsung)
ซัมซุง อิเล็คโทรนิคส์ ประกาศเดินหน้านโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปีนี้
(2019) โดยหันมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กระดาษ
หรือวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ในการผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์แทนการใช้พลาสติก
ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 นี้ ซัมซุงจะเริ่มใช้วัสดุดังกล่าวในการผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าและอุปกรณ์เสริมต่างๆ
ตั้งแต่ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต
ไปจนถึงกล่องบรรจุภัณฑ์อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
สำหรับกล่องบรรจุภัณฑ์สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต
และอุปกรณ์สวมใส่
ซัมซุงจะแทนที่บล็อกถาดพลาสติกที่รองรับตัวเครื่องด้วยผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษขึ้นรูป
และเปลี่ยนพลาสติกอื่นๆ ที่ห่ออุปกรณ์ในกล่องเป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งปรับดีไซน์สายและแท่นชาร์จจากเดิมที่ด้านนอกเป็นพลาสติกแบบเคลือบเงา
ให้เป็นดีไซน์เนื้อผิวด้าน
พร้อมยกเลิกการใช้ฟิล์มติดรอบตัวเครื่องเพื่อลดการใช้จำนวนพลาสติก ส่วนถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
เช่น ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว
จะถูกแทนที่ด้วยวัสดุจากขยะพลาสติกรีไซเคิล และพลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) ซึ่งผลิตขึ้นจากวัสดุจากธรรมชาติ ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างแป้งและอ้อย
สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
นอกจากนี้ ซัมซุง
ยังวางแผนที่จะนำกระดาษที่ผ่านการรับรองจากองค์การด้านป่าไม้
มาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ภายในปี 2020 และตั้งเป้าที่จะนำพลาสติกกว่า 500,000
ตัน รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ถูกทิ้งเป็นขยะกว่า 7.5 ล้านตัน ตั้งแต่ปี 2009
มารีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ให้ได้ภายในปี 2030
อิเกีย
(IKEA)
อีกหนึ่งแบรนด์ระดับโลกที่เห็นความสำคัญของการรีไซเคิลและนำขยะพลาสติกกลับมาใช้
โดยมีการนำขวดพลาสติกน้ำดื่ม หรือที่เรียกว่าขวด PET นำมาทำเป็นบานตู้ครัว
ทั้งนี้ อีเกีย พบว่าในหนึ่งปีทั่วโลกมีการใช้ขวดพลาสติก PET
กว่าหนึ่งแสนล้านขวดทั่วโลก แต่มีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่ขวดเหล่านั้นถูกนำมารีไซเคิล
ทว่าที่เหลือกลายเป็นขยะ ไม่ก็ถูกทิ้งลงทะเลหรือนำไปฝังกลบ
ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อยสลายยากและจะกลายเป็นมลพิษในอนาคต ดังนั้น
อิเกียจึงมีแนวคิดที่จะนำขวดพลาสติกกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์
จนในที่สุดก็ได้ออกมาเป็น KUNGSBACKA/คุงส์บัคก้า ซึ่งเป็นบานตู้ครัวที่นำเอาขวด PET กลับมาใช้ใหม่ทั้งยังมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นอีกด้วย
มากไปกว่าการเป็นผลิตภัณฑ์รีไซเคิล แต่มันยังสวยงามและทนทานมากอีกด้วย
และนอกเหนือจากการนำขวดพลาสติกไปทำเป็นบานตู้ครัวแล้ว
อิเกีย ยังนำพลาสติกจากขวด PET ไปใส่เป็นไส้ในของผ้านวม GLANSVICE (กลันส์วีเด) หนึ่งในผ้านวมที่ขายดีในยุโรปอีกด้วย นอกจากนี้
วัสดุตกแต่งบ้านรวมถึงบรรจุภัณฑ์ของ อิเกีย
หลายชนิดผลิตจากวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ หรือเป็นวัสดุที่ผ่านการรีรีไซเคิลแล้วกว่า
98% เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ระดับโลกที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากทีเดียว
ฌานา
(Charna)
ขอกล่าวถึงบริษัทในไทยกันบ้าง นอกเหนือจากห้างค้าปลีกแล้วก็มีอีกหลายบริษัทในไทยที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม
ดังเช่น “ฌานา” หนึ่งในร้านอาหารไทยที่ผลักดันเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มแข็ง “ฌานา” ร้านอาหารเพื่อสุขภาพในเครือ บริษัท ฟู้ด แพชชั่น จำกัด
หนึ่งในร้านอาหารพี่น้องกับบาร์บีคิวพลาซ่า ตั้งขึ้นบนแนวคิด Full Flavor Healthy Meal คือร้านอาหารที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพที่ต้องการความอร่อยแบบครบรสชาติในทุกๆ
มื้ออาหาร
แต่ที่สำคัญ “ฌานา” ยังมีแนวคิดที่จะชวนทุกคนมาร่วมกันดูแลโลกทะนุถนอมโลกให้สามรถส่งต่อสู่คนรุ่นต่อไปได้
โดยมองว่าทุกวันนี้เราอาจจะสร้างขยะโดยที่ไม่รู้ตัว เพิ่มมลพิษให้กับโลกในปริมาณมหาศาล
ไม่ว่าจะเป็นถุงพลาสติก กล่องโฟม หรือขวดน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาขยะพลาสติกมากมาย
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะทำเพื่อโลกใบนี้กันบ้าง ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันแบบง่ายๆ
โดยการลดละการใช้โฟมหรือถุงพลาสติก แล้วหันมาใช้ภาชนะซ้ำในการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม
จนเกิดเป็นที่มาของ แคมเปญ #CharnaChange
และเพื่อกระตุ้นให้คนเกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมและลงมือทำจริง
ฌานา จึงได้จัดทำชุดบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยในการไม่สร้างขยะหรือมลพิษเพิ่มเติม ได้แก่ “Charna Change Set” ซึ่งประกอบไปด้วย กล่องข้าวสองชั้นทำจากฟางข้าวสาลีบรรจุช้อนส้อมตะเกียบมาให้แบบครบเซ็ท
แถมยังนำเข้าไมโครเวฟได้ด้วย และยังมีขวดน้ำ Flip Bottle ที่เปิดได้สองด้านใช้ได้ทั้งแบบขวดและแบบแก้วน้ำ
มาพร้อมกับถุงเก็บอุณหภูมิร้อนเย็นใส่ได้ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ท้ายที่สุดเพื่อให้แนวคิดแคมเปญเกิดการผลักดันที่แท้จริง
ทางร้านจึงจัดโปรโมชั่นพิเศษให้เกิดการกลับมาใช้ซ้ำ
โดยถ้านำกล่องข้าวหรือขวดน้ำมาซื้ออาหารและน้ำที่ร้านก็จะได้ส่วนลดค่าอาหาร 10 บาท
ถ้าเป็นน้ำก็จะได้ส่วนลด 5 บาทไปเลย นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันอื่นๆ
อีกมากที่สนับสนุนผู้บริโภคที่มีแนวทางการอนุรักษ์เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนไปด้วยกัน
สามารถติดตามได้จาก Facebook Charna Restaurant
อินทนิล
(Inthanin)
ร้านกาแฟอินทนิล หนึ่งในแบรนด์ไทยที่เห็นความสำคัญถึงปัญหาขยะพลาสติกเช่นกัน
ได้ชักชวนลูกค้าให้มาร่วมกันลดการใช้พลาสติกให้น้อยลง ออกมาเป็นแคมเปญ “ฝาใหม่
ไม่หลอด” โดยตัดสินใจพัฒนาฝาแบบใหม่ให้เน้นการยกดื่มได้ เริ่มไปตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว
ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยลดการใช้หลอดพลาสติกได้กว่า 25 ล้านหลอด ภายในสิ้นปี 2562
นอกจากนี้ ก็จะมีการปรับแก้วร้อนแบบนำกลับมาเป็นแบบแก้วกระดาษเคลือบพลาสติกที่ย่อยสลายได้
(Bio PBS) เพื่อลดปริมาณพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
โดยเครื่องดื่มทุกแก้วจะเสิร์ฟด้วยไบโอคัพที่ผลิตจากพืชธรรมชาติ 100% สามารถย่อยสลายได้โดยธรรมชาติภายใน
180 วัน
พร้อมกับจัดแคมเปญให้ลูกค้านำแก้วมาใช้เองด้วยเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดการใช้แก้วพลาสติก
ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า
สุดท้ายการทำธุรกิจในปัจจุบันไม่อาจเพิกเฉยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมได้
หลายบริษัททั่วโลกจึงเริ่มดำเนินนโยบายธุรกิจสีเขียวกันมากขึ้นอย่างที่เราเห็น
เพราะการทำธุรกิจจะต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ไม่เห็นแก่ผลกำไรของตนเองมากจนเกินไป
เพราะเมื่อสังคมมีความเป็นอยู่ที่ดีผู้บริโภคมีความสุขกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว
ในที่สุดก็จะกลับมาจับจ่ายบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ สร้างผลกำไรให้กับภาคธุรกิจต่อไป
เกิดเป็นโลกที่น่าอยู่และยั่งยืนในอนาคต.