เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รถไฟฟ้าบีทีเอส ได้เปิดทดลองเดินรถและให้บริการรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท (สายสีเขียวอ่อน) ส่วนต่อขยายเพิ่มเติมจากสถานีสำโรง – สถานีการเคหะฯ ซึ่งเป็นการเชื่อมพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการเข้าสู่ใจกลางเมือง โดยในช่วงทดลองนี้เปิดให้ประชาชนใช้บริการได้ฟรีไม่เสียค่าโดยสาร จนถึงเดือน เม.ย. 2562

วันนี้เราเลยขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้บริการ
พร้อมอธิบายเกี่ยวกับการเดินทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน 

รถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน ที่เปิดให้บริการเพิ่มเติม 9 สถานี ได้แก่ สถานีสำโรง,สถานีปู่เจ้า,สถานีช้างเอราวัณ,สถานีโรงเรียนนายเรือ,สถานีปากน้ำ,สถานีศรีนครินทร์, สถานีแพรกษา,สถานีสายลวด,สถานีเคหะฯ

สำหรับการเดินทางในช่วงแรก คนที่ต้องการจะเดินทางต่อไปยัง 9 สถานีนี้ ไม่สามารถนั่งรวดเดียวจากในเมืองไปได้เลย จะต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟที่สถานีสำโรงทุกครั้ง เหมือนตอนเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม ไม่ต้องแตะบัตรออกจากสถานี  และจะมีการจัดขบวนรถไฟฟ้าวิ่งทุก10นาที สำหรับให้บริการใน 9 สถานี ซึ่งหลังจากช่วงทดลองให้บริการ รูปแบบ และเวลาการเดินรถอาจปรับเปลี่ยนไปเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง

ค่าโดยสารหากเป็นการเดินทางภายใน 9 สถานีใหม่ จะไม่คิดเงิน ผู้โดยสารสามารถกดตั๋วเที่ยวเดียวจากตู้ได้เลย แต่นอก 9 สถานนี้จะเสียค่าเดินทางตามระยะทางปกติ ส่วนคนที่ใช้บัตรโดยสารประเภทเติมเงิน เติมเที่ยว เมื่อแตะบัตรที่ประตูแล้วบัตรจะไม่ถูกนับเที่ยวและจะไปเริ่มนับเที่ยวที่สถานีอ่อนนุช และต้องเสียค่าส่วนต่อขยาย 15 บาทเหมือนเดิม

สำหรับคนที่ต้องการนำรถยนต์มาจอดสามารถจอดได้ที่สถานีเคหะ เปิดให้จอดฟรี รองรับรถยนต์ได้ 720 คัน
เริ่มตั้งแต่เวลา 05.00 – 01.00 น. ทุกวัน

สถานที่สำคัญและน่าสนใจที่รถไฟฟ้าสายใหม่นี่วิ่งผ่าน เช่น โค้งแม่น้ำเจ้าพระยาที่สถานีปากน้ำ,วิวหอชมเมืองสมุทรปราการ,พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางต่อรถเพื่อไปสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เช่นเมืองโบราณ และสถานตากอากาศบางปู ได้อีกด้วย

– ในอนาคต –

• ส่วนต่อขยายสายสมุทรปราการ จะมีการสร้างต่ออีก จากสถานีเคหะฯ ต่อไปยัง สถานีสวางคนิวาส ,สถานีเมืองโบราณ,สถานีศรีจันทร์ประดิษฐ์ ,สถานีบางปู (ยังไม่มีแผนเปิดให้บริการ)

• ส่วนของฝั่งสายพหลโยธินซึ่งอยู่ในเส้นรถไฟฟ้าสายเดียวกัน
  ในปี 2562 มีแผนจะเปิดบริการสถานีห้าแยกลาดพร้าวและแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี 2563 รวมทั้งหมด 16 สถานีในฝั่งนี้ โดยเส้นทางจะเชื่อมจากสถานีหมอชิตวิ่งเข้าตามแนวถนนพหลโยธิน ข้ามโทลล์เวย์ เข้าสู่สถานีห้าแยกลาดพร้าว ตั้งอยู่ที่หน้าห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว และจะวิ่งสู่สถานีพหลโยธิน 24 สถานีรัชโยธิน, สถานีเสนานิคม,สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,สถานีกรมป่าไม้, สถานีบางบัว, สถานีกรมทหารราบที่ 11, สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ,สถานีพหลโยธิน 59, สถานีสายหยุด, สถานีสะพานใหม่,สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช, สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ,สถานีแยก คปอ.,สถานีคูคต

จะเห็นได้ว่ารถไฟฟ้าสายสุขุมวิทในช่วงส่วนต่อขยายทั้งฝั่งพหลโยธินและฝั่งสมุทรปราการมีความคืบหน้าไปมาก อดใจรออีกไม่กี่ปี ก็จะใช้บริการได้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดความแออัดของการจราจร รวมถึงเชื่อมต่อชานเมืองเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ ได้สะดวกมากขึ้น

แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องคอยลุ้นกันว่า หากเปิดบริการครบทุกสถานีแล้ว ค่าบริการจะเป็นอย่างไรบ้าง? เพราะปัจจุบันค่าเดินทางรถไฟฟ้าบีทีเอส เริ่มต้นที่ 16บาท – 44 บาท และค่าโดยสารในส่วนต่อขยายอีก 15 บาท นั่นหมายความว่า หากเดินทางจากหมอชิต-สำโรง ต้องเสียค่าโดยสาร 59 บาท ยังไม่รวมเส้นทางที่จะเปิดในอนาคตที่ไม่แน่ว่าจะมีการเก็บเงินเพิ่มอีกหรือไม่ ? ซึ่งหลายคนต้องยอมแลกเพื่อซื้อเวลาและความสะดวก

ขอบคุณ ภาพจาก แฟนเพจ รถไฟฟ้าบีทีเอส

Copyright© Bsite.In

เมื่อช่วงที่ผ่านมา รถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ทดลองเปลี่ยนตู้ออกบัตรโดยสารแบบเที่ยวเดียวและบัตรโดยสารเที่ยวเดียวรูปแบบใหม่ โดยวัตถุประสงค์เพื่อรองรับสถานีรถไฟฟ้าที่จะเปิดให้บริการในอนาคต รวมถึงรองรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ ที่จะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคมนี้ด้วย แต่การปรับเปลี่ยนบัตรโดยสารใหม่ทำให้เกิดความยุ่งยากและเพิ่มความงงให้กับผู้ใช้งาน วันนี้เราเลยขอพาทุกคนมาดูกันว่า บัตรนี้ใช้ยังไง??

บัตรโดยสารแบบเที่ยวเดียว : เป็นบัตรโดยสารที่ซื้อได้ที่ตู้กดเท่านั้น ไม่สามารถซื้อได้ที่ช่องแลกเหรียญหรือจุดเติมเงิน คิดอัตราค่าโดยสารตามจำนวนสถานี อัตราค่าโดยสาร 16 – 44 บาท ถ้าเป็นสถานีส่วนต่อขยายราคาจะเป็น 59 บาทบัตรประเภทนี้จะต้องอยู่ในสถานีไม่เกิน 120 นาที ถ้าอยู่เกินไม่แตะออกจะต้องเสียค่าเบี้ยปรับ และบัตรใช้ได้เฉพาะวันที่ซื้อเท่านั้น

ตั๋วโดยสารเที่ยวเดียวแบบเก่า
ใช้แบบแถบแม่เหล็ก ลักษณะที่เป็นบัตรบันทึกข้อมูลที่มีรูตรงกลาง ออกจากตู้ออกตั๋วโดยสารอัตโนมัติที่เป็นแบบหยอดเหรียญและกดปุ่ม วิธีใช้เมื่อเข้าสถานีสอดเข้าแล้วรับบัตร เมื่อออกสถานีสอดเพื่อคืนบัตร

ตั๋วโดยสารเที่ยวเดียวแบบใหม่
เป็นสมาร์ทการ์ดแบบบาง ตั๋วแบบใหม่จะออกจากตู้กดบัตรที่เป็นรูปแบบจอทัชสกรีน การเข้าสถานีให้แตะบัตรที่บริเวณจุดแตะเดียวกับบัตรแรบบิท และการคืนบัตรตอนออกให้สอดเหมือนเดิม

อาจจะฟังดูไม่ยุ่งยาก แต่ปัญหาอยู่ที่ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ บัตรโดยสารทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ใช้งานร่วมกัน แต่ช่องแตะบัตรเข้าสถานีบางช่องไม่รองรับบัตรใหม่และบางช่องไม่รอบรับบัตรแบบเก่า ทำให้เวลาผู้ใช้ต่อแถวเข้าเพื่อแตะบัตรแล้วผ่านเข้าไปไม่ได้ ปัญหานี้ในชั่วโมงเร่งด่วนยิ่งทำให้แถวแตะบัตรเข้าสถานียาวเพิ่มขึ้นไปอีก ข้อแนะนำมีดังนี้

• สำหรับตั๋วโดยสารประเภทเที่ยวเดียว ทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ เหนือช่องแตะบัตรจะมีป้ายบอกเลยว่าช่องนี้สำหรับบัตรแบบใหม่หรือแบบเก่า ให้สังเกตให้ดีก่อนเข้าไปต่อแถว จำให้ขึ้นใจว่า กดบัตรแบบใหม่ ให้แตะเข้า-สอดออก,บัตรแบบเก่าสอดเข้า-สอดออก
• บัตรโดยสารประเภทเติมเงินและบัตรแรบบิท สามารถแตะเข้าได้ทุกช่องไม่มีปัญหาการใช้งาน

[wonderplugin_video iframe=”https://www.youtube.com/watch?v=m4pnAngoito” videowidth=600 videoheight=400 keepaspectratio=1 videocss=”position:relative;display:block;background-color:#000;overflow:hidden;max-width:100%;margin:0 auto;” playbutton=”https://bsite.in/wp-content/plugins/wonderplugin-video-embed/engine/playvideo-64-64-0.png”]

ปัจจุบันบีทีเอส กำลังเปลี่ยนมาใช้ตู้ออกตั๋วโดยสารอัตโนมัติ โดยมีแผนติดตั้ง 200 ตู้ และตู้แบบรับธนบัตรอีก 50 ตู้ ครอบคลุมทุกสถานีภายในปี 2561 เพื่อเป็นการรองรับสถานีที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยขณะนี้อยู่ในแผนงานก่อสร้างได้แก่

• ส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงสำโรง-สมุทรปราการ เปิดธันวาคม  61 นี้
• โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – คูคต
• โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี
• โครงการรถไฟฟ้า สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง

ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง บีทีเอส ได้แนะนำให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนไปใช้บัตรโดยสารแบบเติมเงินหรือบัตรแรบบิท ที่เข้าได้ทุกช่องสะดวกกว่าและกำลังมีโปรโมชั่นลดราคาเที่ยวโดยสารละ 1 บาท และการซื้อแบบเติมจำนวนเที่ยวก็ราคาประหยัดกว่าด้วย

Copyright© Bsite.In