คึกคัก! Sony จับมือ Honda ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ร่วมศึกรถ EV เล็งวางขายปี 2025
Motor
คึกคัก! Sony จับมือ Honda ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ร่วมศึกรถ EV เล็งวางขายปี 2025
By DiamondP • on Mar 04, 2022 • 1,535 Views
เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV กำลังมาแรง
หลายบริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่เริ่มหันมามองเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อเป็นรถยนต์ทางเลือกให้สำหรับผู้ที่รักสิ่งแวดล้อม
และอยากจะเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันมาเป็นพลังงานที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า
หลังจากที่ก่อนนี้ที่ปล่อยให้ Tesla
Inc. และ Volkswagen AG ออกนำไปก่อนในตลาดรถไฟฟ้า
ตอนนี้ถึงคราวของ Honda
Motor แล้วที่จะกระโดดเข้ามาในตลาดนี้อย่างเต็มตัว
แต่เขาไม่ได้มาคนเดียว เพราะได้จับมือร่วมกับบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์อย่าง Sony Group Corp.
Bloomberg ได้รายงานว่า
Sony Group Corp. และ
Honda Motor Co. ได้ร่วมมือกันในการพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้า
เพื่อประสานกำลังกันสร้างรถยนต์สำหรับยุคอนาคต ที่ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อน
และมีการเชื่อมโยงกันอย่างหลากหลาย ซึ่งความร่วมมือนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในปีนี้
และวางแผนที่จะเริ่มจำหน่ายในปี 2025 โดยทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้มีการเปิดเผยมูลค่าของการร่วมทุนในครั้งนี้
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา Sony ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า SUV รุ่นต้นแบบ ภายใต้บริษัท Sony Mobility Inc. เพื่อค้นหาพาร์ทเนอร์ที่จะมาร่วมกันสร้างแบรนด์รถยนต์ของโซนี การดีไซน์รถยนต์คันนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือกับบริษัท Magna International Inc. และ Robert Bosch GmbH โดยมีคอนเซปต์ในการโชว์เทคโนโลยีที่ห่อหุ้มแก่นของความแข็งแกร่งที่เป็นของโซนี ทั้งความบันเทิงและการตรวจจับเซ็นเซอร์
อย่างที่รู้กันว่า Sony คือผู้นำในด้านความบันเทิง แต่พวกเขายังโดดเด่นในด้านการสร้างเซ็นเซอร์ตรวจจับแบบอัตโนมัติ และยานพาหนะที่สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเองอีกด้วย ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่มาจากการพัฒนาสมาร์ทโฟน และกล้องดิจิตอลมาเป็นเวลานานของเจ้าตัวเอง การที่ Sony เข้ามาร่วมมือกับ Honda แบบนี้ มั่นใจได้เลยว่าเราจะได้เห็นความแปลกใหม่ และการแข่งขันในตลาดรถ EV ที่ร้อนแรงกว่าเดิมอย่างแน่นอน
เจ้ารถพอร์ช 904 GTS รุ่นปี 1964 นี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นของ โรเบิร์ต
เรดฟอร์ด นักแสดงชื่อดังแห่งฮอลลีวู้ด ที่เคยฝากผลงานเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่อง All
the President’s Men ซึ่งเจ้ารถคันนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรถแข่งที่มีรูปลักษณ์สวยงามที่สุดในยุคนั้นเลยทีเดียว
ล่าสุดได้มีการเปิดเผยว่า เจ้าพอร์ช 904 GTS รุ่นปี 1964 จะถูกนำมาประมูลขายในงานประมูล Les Grandes Marques du Monde a Paris ที่จัดโดย Bonhams องค์กรที่จัดการประมูลสินค้าหายาก และสินค้าทรงคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก โดยทาง Bonhams คาดว่าเจ้ารถคนนั้นจะสามารถทำเงินจากการประมูลไปได้อยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 1.7 ล้านเหรียญฯ คิดเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ประมาณ 56 ล้านบาท
กรพงศ์ อมรสุรเดช Senoir Sale and marketing บริษัท Senju (Thailand) จำกัด และเจ้าของบริษัท Nexact Public Company เปิดเผยว่า “ชอบช่วงที่ได้ขับรถ BMW M4 ในแทร็กมากที่สุด เนื่องจากได้สัมผัสกับความแรงและสมรรถนะของรถอย่างเต็มที่ที่สุด ต้องบอกว่า มันส์มากๆ อะดรีนาลีนหลั่งเลย เพราะเป็นสนามในฝัน และชอบมากที่มีอินสตรัคเตอร์สอนไลน์การเข้าโค้ง นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้การขับรถ BMW ในสนาม BMW Driving Academy ที่ทำให้ได้รับประสบการณ์การควบคุมรถ ซึ่งแต่ละด่านคล้ายกับ Area51 ที่ประเทศไทย รวมทั้งประทับใจด่านดริฟต์ เพราะอยากฝึกทักษะตรงนี้ให้เป็นมานานแล้วครับ และได้นั่ง Taxi ring รอบนอร์ดชไลเฟ่ ที่สำคัญมีเซอร์ไพส์ให้เข้าไปชมรถคลาสสิกแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วย”
ชลพรรษา นารูลา ผู้ประกาศข่าว และพิธีกร เล่าความประทับใจที่ได้ไปชมวิวัฒนาการของยานยนต์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน รวมถึงอนาคต ว่า “ประทับใจการได้เข้าไปยลโฉมรถคลาสสิก ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประวัติน่าสนใจและทึ่งกับผลตอบแทนที่สามารถเกิดขึ้นได้ การลงทุนในรถยนต์ ราคาสูงถึง 1 ล้านยูโร เป็นการชมที่คิดว่าหาโอกาสแบบนี้ได้ยากมากถ้าไม่ได้ไปกับทาง The Ultimate JOY Experience รวมถึงการเข้าไปในสนามนูร์เบอร์กริ่ง ได้ฟังเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ก็ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่สำหรับตัวเอง เสียดายตัวเองไม่ได้มีโอกาสขับรถในสนาม แต่สามี(รานา รัตนโกวิท) ปลื้มมาก เพราะได้ลองรถ BMW M4 ที่แรงและทรงพลัง”
สุภาพิมพ์ ชัยชนะวงศ์ Director ธุรกิจด้าน Logistics บอกสิ่งที่ได้รับจากทริปนี้ ว่า “ประสบการณ์ใหม่และความตื่นเต้น เพราะไม่มีสนามแข่งแบบนี้ในเมืองไทย ถ้าไปเองก็คงไม่มีโอกาสได้เข้าไปใกล้ชิดแบบนี้ที่สำคัญสนามนูร์เบอร์กริ่งค่อนข้างไกลออกจากตัวเมือง และไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ถ้าไม่ใช่คนรักรถจริงๆ คงมาลำบาก แต่เรามาแล้วได้เจอเพื่อนร่วมทริปที่สนุกกับทริปขับรถนี้มาก ทุกคนดูสนุกมาก รวมทั้งได้เห็นรถแปลกๆ กับ BMW Museum ทำให้สนใจ BMW I series (ECO) มากขึ้น”
จิรเดช เอกธำรง Management Associate, Central Group ถ่ายทอดความประทับใจในทริปสุดพิเศษนี้ ว่า “ต้องเป็นวันที่ไปขับรถที่สนามนูร์เบอร์กริ่ง เพราะได้มีโอกาสในการขับในสนามยอดนิยมอันดับต้นๆ ของโลก และได้ขับรถ BMW M4 ที่ได้ทดลองด่านต่างๆ ในสนามทั้ง การหลีกเลี่ยง oversteer, slalom time trial และได้เรียนรู้ ทดลองขับรถในสนามแข่ง เรียนรู้การเข้าโค้ง ควบคุมคันเร่งและพวงมาลัย ก่อนหน้านี้เคยเห็นคนขับรถในสนามนูร์เบอร์กริ่งแค่ในวิดีโอ แต่วันนี้มีโอกาสได้มาขับเองในสนามด้วยรถ BMW M4 ผมตื่นเต้นมากตั้งแต่ก่อนไป และหลังจากได้ขับจริง ก็เป็นประสบการณ์ที่พิเศษในการได้ขับรถในสนามแข่งระดับโลก และได้นั่ง Taxi Ring ใน BMW M5 กับเยี่ยมชม บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป คลาสสิก รวมทั้งได้เพื่อนใหม่อีกหลายๆ คนที่ชื่นชอบในการขับรถเหมือนกัน”
ธเนศ หวังชูเชิดกุล เจ้าของธุรกิจส่วนตัว เล่าว่า “ชอบที่สุดตอนที่ได้นั่ง BMW M5 Ring Taxi ในสนาม นอร์ดชไลเฟ่ รู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดจากร่าง ตัวรถได้แสดงสมรรถนะอย่างเต็มที่ ได้สัมผัสกับสนามแข่งในตำนานคุ้มมาก ๆ รวมถึงได้ขับ BMW M4 บนนูร์เบอร์กริง ซึ่งเป็นสนามที่ดีมากก มีโค้งหลายรูปแบบให้ได้ลอง รวมทั้งทางตรงยาวให้ได้ใช้ความเร็วสูงด้วย รวมทั้งได้ทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่แรงสะใจ ตอบสนองดี ช่วงล่างดี ควบคุมรถง่าย และสามารถนำทักษะที่ได้จากการเรียนรู้การขับรถบีเอ็มดับเบิลยูในสนาม BMW Driving Academy มาใช้ในชีวิตประจำวันได้หลายอย่าง”
สำหรับสมาชิกเจ้าของรถ BMW ทุกรุ่นที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่โปรแกรม The Ultimate JOY Experience จัดให้ สามารถสมัครสมาชิกได้ที่ https://bmwultimatejoy.com พร้อมติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.facebook.com/bmwultimatejoy
ซึ่งหลังจากจบสงคราม ก็ถูกปลุกชีพโดย Ivan Hirst นายทหารและวิศวกรอังกฤษ ที่สำคัญอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ Beetle ก็ทำให้เศรษฐกิจเยอรมันดีขึ้นจากความพังพินาศของสงคราม
เจ้าหนู Herbie กับรุ่งอรุณใหม่จาก The New Beetle
จากนั้นการผลิตก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้งราวปี 1940 และปี 1955 รถหลายล้านคันถูกขับบนถนนในเยอรมัน โดยที่รูปแบบของรถคันนี้ถูกนำเสนอต่อหน้าชาวโลกในช่วงปี 1960 และในยุค 70 ผ่านภาพยนตร์ซึ่งถ่ายทอดบทโดยเจ้า Herbie รถเต่าในเรื่อง Love Bug, a racing car ที่เข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมหลายคนและต้องการครอบครองเอาไว้สักคันหนึ่ง
แต่ก่อนหน้านี้ก็อาจะเรียกได้ว่ามันได้รับความนิยมสูงเช่นกันในช่วงปี 1960 ซึ่งเป็นช่วงต่อต้านหรือปฏิเสธวัฒนธรรม ซึ่งยกให้ the Beetle เป็นรถเล็กที่มีประสิทธิภาพ แล้วยังดีไซน์ได้งดงามอีกด้วย
มาถึงยุคปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่น่าจะคุ้นตากับดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า The New Beetle โดยออกมาในยุค 1990 ซึ่งทำตลาดถล่มทลายไปทั่วโลก รวมถึงตลาดสหรัฐฯ ด้วย โดยยอดขายเพียงปีเดียวมากกว่า 18,000 คันในปี 1999