- Entertainment
รีวิว Jurassic World: Dominion ยำใหญ่โลกล้านปี แอบซ้ำซาก เต็มเปี่ยมแฟนเซอร์วิสให้หายคิดถึง
By DiamondP • on Jun 08, 2022 • 630 Views
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงบทสรุปของไตรภาค Jurassic World การสานต่อของเฟรนไชส์โลกล้านปี จากความสำเร็จที่เริ่มต้นเอาไว้ตั้งแต่ Jurassic Park ในปี 1993 กับการเนรมิตเหล่าสัตว์ผู้เคยครองโลกในยุคหนึ่งให้มามีชีวิตโลดแล่นในโลกภาพยนตร์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ มนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงถูกสืบสานต่อมาจนถึงปัจจุบัน และในการกลับมาของ Jurassic World: Dominion พวกเขาก็ใส่ใหญ่จัดเต็มแบบไม่มียั้งมือ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูจะยังไม่พอที่จะทำให้นี่กลายเป็นการปิดตำนานที่น่าตรึงตาตรึงใจ
เรื่องราวต่อเนื่องจาก Jurassic World: Fallen Kingdom หลังจากที่ภูเขาไฟบนเกาะอิสลาร์ นูบลา เกาะที่ตั้งของสวนสนุก Jurassic World ระเบิดขึ้น จนทำให้มนุษย์ต้องอพยพเหล่าไดโนเสาร์ออกจากที่แห่งนั้น เรื่องราวบานปลายจนพวกมันหลุดออกไปสู่โลกภายนอก เปลี่ยนโฉมหน้าของโลก บังคับให้มนุษย์ที่เคยอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ต้องแชร์โลกร่วมกับผู้ครองโลกในยุคเก่า แต่มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ พวกเขายังคงหาวิธีในการควบคุมธรรมชาติ ดัดแปลงพันธุกรรม จนคราวนี้ร้ายแรงถึงขั้นที่อาจทำให้มนุษยชาติสูญพันธุ์
การดำเนินเรื่องของ Jurassic World: Dominion ในช่วงแรกเน้นไปที่การปูเรื่องราวเป็นส่วนใหญ่ ใส่เนื้อหาเข้ามามากมายจนแอบรู้สึกเนือยไปไม่น้อย แต่ก็สามารถหล่อเลี้ยงด้วยการกลับมาของตัวละครจากไตรภาคเก่า ทั้งอลัน แกรนท์ ที่รับบทโดย แซมนีล, แอลลี แซตเลอร์ ที่รับบทโดย ลอร่า เดิร์น และเอียน มัลคอร์ม ที่รับบทโดย เจฟฟ์ โกลด์บลูม เสน่ห์ของพวกเขายังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แค่ได้เห็นพวกเขาออกมาอัปเดตชีวิตในช่วงเวลาที่หายไปก็รู้สึกสนุกแล้ว
หลังจากใช้เวลาปูเรื่องไปพอสมควร ในที่สุดเครื่องก็ติด หนังเสิร์ฟฉากแอ็คชั่นการไล่ล่าของเหล่าแรปเตอร์ที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นอาวุธมีชีวิต ฉากนี้เกิดขึ้นที่มอลต้า เรียกได้ว่าเป็นฉากแอ็คชั่นที่ดีที่สุดฉากหนึ่งของเรื่องเลยทีเดียว ความตื่นเต้น การออกแบบการไล่ล่า ที่ผสมผสานระหว่างมนุษย์กับเหล่าไดโนเสาร์ถูกทำออกมาได้ดีเยี่ยม ชวนให้ลุ้นตามจนจบฉาก การแสดงของคริส แพรตต์, ไบร์ซ ดัลลาส โฮวาร์ด และดีแวนด้า ไวส์ สอบผ่านฉลุย
ก่อนที่หนังจะเปลี่ยนโทนเข้าสู่การกลายเป็น Sci-fi Horror ผสมผสานแนวโจรกรรม, วิทยาศาสตร์ และระทึกขวัญเข้าไว้ด้วยกัน เราจะได้เห็นการบรรจบกันของเหล่าตัวละครจากไตรภาคเก่า และใหม่ที่เข้ามาช่วยส่งเสริมกันได้ดี หนังพยายามใส่หลายสิ่งหลายอย่างเข้ามาเพื่อเอาใจแฟน ๆ แต่มันกลับออกมาแห้งแล้ง และไม่ได้ชวนให้อินมากขนาดนั้น เหล่าไดโนเสาร์ก็ยกโขยงออกมาปรากฎตัวกันอย่างมากมายหลายสายพันธุ์ จุดเด่นคือพวกมันมีความหลากหลายทั้งรูปร่าง และสีสัน ลักษณะภายนอก และความเฉพาะตัว ซึ่งตรงจุดนี้น่าชื่นชม
เมื่อเรื่องราวเดินทางมาถึงบทสรุป หนังก็ทำให้เราได้เห็นสิ่งที่ภาพยนตร์ตั้งแต่ไตรภาคแรกพยายามจะสื่อออกมา พวกเขาสรุปเอาไว้ในตอนจบได้อย่างที่ตั้งใจหวังไว้ แต่มันกลับไม่ได้สร้างความตรึงตาตรึงใจ รวมไปถึงฉากต่อสู้สุดท้ายที่ดูเหมือนจะเป็นไฮไลท์ของเรื่องก็ไม่ได้สร้างอิมแพ็คอะไรมากมายขนาดนั้น ไม่เพียงเท่านั้นการเดินทางสู่บทสรุปก็ดูจะง่ายดาย ไม่ได้จูงใจให้กับเราได้มากเท่าที่ควร
โดยสรุปแล้ว Jurassic World: Dominion ได้ทำหน้าที่เป็นบทสรุปของเรื่องราวที่เริ่มต้นเอาไว้ตั้งแต่ Jurassic Park แต่ระหว่างทางพยายามที่จะเอาใจแฟน ๆ มากจนเกินไป จนใส่หลายสิ่งหลายอย่างเข้ามาจนขาดสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง นั่นคือ ความสัมพันธ์ของตัวละครที่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเข้าถึงความรู้สึกของพวกเขาได้มากเท่าไรนัก มันยังคงทำหน้าที่เป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ที่อย่างที่ควรจะเป็น แต่ถ้าพูดในแง่ของการจะกลายเป็นตำนานนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังห่างไกลจาก Jurassic Park อยู่พอสมควร
Jurassic World: Dominion ฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์
ABOUT THE AUTHOR
DiamondP
คนอยากเขียน กับความสนใจเยอะแยะ และเราเชื่อว่า คนทุกคนเท่าเทียมกัน