- Entertainment
เทียบฟอร์ม Disney+ / Apple TV Channels / Youtube Premium ท้าชน Netflix จะหมู่หรือจ่า
By ทีมงาน bsite • on May 15, 2019 • 1,818 Views
โลกของคอนเทนต์ทีวีเริ่มส่งสัญญาณของคลื่นลูกใหม่ นอกจากค่อยๆ หมดยุคของฟรีทีวีแล้ว ก็อาจถึงคราวที่เคเบิ้ลทีวีก็กำลังถูกคลื่นลูกใหม่ที่เรียกว่า สตรีมมิ่ง ทีวี เข้ามาแทนที่แล้วเช่นกัน สัญญาณนี้เราเริ่มเห็นได้จากความนิยมของการให้บริการสตรีมมิ่ง ทีวี มากมาย นำโดย Netflix, HULU, Amazon Prime, HOOQ, VIU เป็นต้น ซึ่งไม่ปัจจุบันไมได้เป็นเพียงแค่บริการออนไลน์วิดีโอสตรีมมิ่งเท่านั้น หลายเจ้าเองก็เริ่มที่จะผลิตออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเองขึ้นมา ซึ่งสอดรับกับเทรนด์ในปัจจุบันที่บอกว่า คนส่วนใหญ่นิยมการสตรีมมิ่งเพื่อเสพย์คอนเทนต์มากขึ้น
จับอาการได้ชัดเจนจากการที่ยักษ์ใหญ่หลายราย ไม่ว่าจะเป็น Apple ที่ประกาศเมื่อต้นปีในการเปิดให้บริการ Apple Channels, Apple TV+ ซึ่งเปิดตัวด้วยคนบันเทิงระดับเอลิสต์วงการฮอลลีวู้ดมาร่วมมากมาย หรือหันไปทางเสิร์จเอนจิ้นรายใหญ่ Google (โดย Alphabet) ก็เตรียมลุยด้วยการอัปเกรด Youtube Premium เต็มที่ และแน่นอนเจ้าพ่อเอ็นเตอร์เทนเมนต์โลกตัวจริงอย่างดิสนีย์ไม่พลาด กับการเปิดตัว Disney+ นั่นเอง
ดังนั้น ลองมาดูฟอร์มแต่ละเจ้ากันดีกว่าว่ามีอะไรดีๆ น่าสนใจอยู่บ้าง
Apple Channels, Apple TV+
มาดูค่ายจากฝั่งค่ายมือถือรายใหญ่ของโลก Apple ที่เปิดตัวบริการสตรีมมิ่ง Apple Channels, Apple TV+ ขนทัพผู้กำกับและนักแสดงชั้นนำ มาสร้างออริจินัลคอนเทนต์มากมาย Apple TV Channels จะนำเสนอคอนเทนต์จากช่องยอดนิยมอย่าง HBO และ Showtime อีกทั้งเปิดให้ง่ายต่อการเข้าถึงเนื้อหาที่ผู้ชมมีอยู่แล้วผ่าน TV Cable Subscription
บริการ Apple TV ใหม่นี้ทำให้แอปเปิ้ลต้องแข่งขันกับผู้เล่นอื่นอย่าง Netflix, Hulu, Amazon Premium, Disney +, AT&T และ NBCUniversal ฯลฯ โดยทั้งหมดก็วางแผนจะปล่อยบริการสตรีมมิ่งของตัวเองเช่นกันทั้งในปีนี้ (2019) และปีหน้า (2020)
นอกจากนี้ Apple TV+ จะทำออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเอง โดยมีผู้กำกับและนักแสดงแถวหน้ามากมาย อาทิ Steven Spielberg, Jenifer Aniston, Abrams ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ตัวเลือกรายการในตอนนี้ยังคงมีจำกัดอยู่เมื่อเทียบกับ Netflix และบริการอื่นๆ
Apple TV Channels
รายการต่างๆ ใน Apple TV Channels จะมีทั้งของ Epix, HBO, Showtime, StarZ โดยผู้ใช้จะต้องทำการสมัคร หรือ Subscribe กับแต่ละช่องที่ต้องการรับคอนเทนต์เนื่องจากผู้ใช้งานบางคนก็ไม่ต้องการที่จะดูรายการทั้งหมดที่มีให้ หรือสามารถเลือกแพ็คเกจรวมช่องทั้งหมดในราคาที่รวมส่วนลดก็ได้ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ได้มีอะไรใหม่ เพราะทาง Apple TV ก็ได้เปิดให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมเคเบิลทีวีเข้ากับ Apple TV ได้อยู่แล้ว หน้าจอหลักของ Apple TV จะเป็นเหมือน Launchpad สามารถค้นหารายการทีวีและภาพยนตร์ อีกทั้งรายการที่ผู้ใช้น่าจะชอบด้วย
Apple TV เปิดให้บริการบน iPad, iPhone และ Apple TV อยู่แล้ว และจะเพิ่มช่องทางบริการบน Mac เร็วๆ นี้ นอกจากนี้ ยังจะเปิดตัวใน Vizio, Sony, LG และ Samsung smart TV รวมถึงกล่อง Roku และ Amazon Fire TV อีกด้วย
Apple TV Channels และแอป Apple TV ตัวใหม่นี้จะเปิดวางจำหน่ายใน 100 ประเทศเดือนพฤษภาคมนี้
Apple TV+
Apple TV+ บริการทีวีสตรีมแบบไม่มีโฆษณาคั่น ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของคลังคอนเทนต์เดิม ซึ่งนี่ถือเป็นการเปิดตัวแข่งขันกับผู้ให้บริการสตรีมมิ่งโดยตรงอย่าง Amazon Prime และ Netflix ที่สำคัญจะอัดแน่นด้วยเอ็นเตอร์เทนเมนต์คุณภาพคับแก้ว การันตีโดย Steven Spielberg ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเขาจะทำการสร้างทีวีซีรีส์เรื่อง Amazing Stories ขึ้นมาใหม่สำหรับ Apple TV+ โดยเฉพาะ หรือแม้แต่กองทัพนักแสดงแนวหน้าอย่าง Reese Witherspoon, Jennifer Aniston และ Steve Carell ก็ประกาศการร่วมงานในทีวีซีรีส์ใหม่เรื่อง ‘The Morning Show’ รวมไปถึงนักแสดงแถวหน้าอย่าง Kumail Namjiani จะปล่อยซีรีส์กวีนิพนธ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากผู้อพยพในสหรัฐฯ ที่ชื่อว่า Little America บอกเลยน่าดูมาก นอกจากนี้ ยังมีผู้กำกับมหากาฬอย่าง J.J. Abrams หรือเจ้าแม่ทอล์คโชว์อเมริกาอย่าง Oprah Winfrey และ Octavia Spencer, Jason Momoa, M.Night Shayamalan, Jon M. Chu และอื่นๆ ก็ได้ประกาศสร้างออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเอง ใน Apple TV+ เช่นกัน
Disney+
ดิสนีย์ ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วว่า จะเปิดให้บริการ Disney+ ในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ โดยจะมีราคาบริการ subscription รายเดือนอยู่ที่ 6.99 ดอลลาร์ (ถ้าสมัครรายปี ค่าบริการจะอยู่ที่ 69.99 ดอลลาร์) ซึ่งราคาค่าบริการ ถูกกว่า Netflix เกือบครึ่ง เพราะ Netflix มีราคาค่าบริการรายเดือนอยู่ที่ 12.99 ดอลลาร์
ทั้งนี้ Bob Iger ประกาศเรื่อง Disney+ ในงานแถลงข่าวต่อนักลงทุนประจำปี โดยระบุว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 และลงทุนเพิ่มอีก 2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 ทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำ ‘ออริจินัลคอนเทนต์’
นอกจากนี้ ยังประเมินไว้ว่า Disney+ ในปี 2024 จะมีลูกค้าประมาณ 60-90 ล้านคนทั่วโลก โดยวางแผนไว้ว่าลูกค้า 1 ใน 3 จะเป็นลูกค้าในสหรัฐอเมริกา และที่เหลือมาจากทั่วโลก
ในขณะที่ตอนนี้ Netflix มีลูกค้าอยู่ที่ประมาณ 150 ล้านคน
และแน่นอนว่า คอนเทนต์ของ Disney+ อัดแน่นเต็มพิกัด โดยเฉพาะของค่าย Marvel ซึ่งจะดำเนินการสร้างภาคแยกของซุปเปอร์ฮีโร่ ขยายจักรวาลของ MCU ออกไป อาทิ ซีรีส์ของ Scarlet Witch และ Vision, Loki, Bucky Barnes (the Winter Soldier) และ Sam Wilson (Falcon) และ Hawkeye ส่วนหนังฮีโร่ในจักรวาลมาร์เวลที่จะฉายบน Disney+ เรื่องแรกคือ Captain Marvel นอกจากนั้นจะมีหนังอนิเมชั่น What If ที่จะทดลองสร้างสมมติฐานใหม่ๆ เช่น ถ้าคนที่จะได้ Super Serum ไม่ใช่ Steve Rogers (Captain America) แต่เป็น Peggy Carter จะเกิดอะไรขึ้น?
อีกหนึ่งค่ายในเครือของดิสนีย์ ได้แก่ Pixar ก็จะมีซีรีส์อย่างเช่น Toy Story และ Monster’s Inc. ที่ใช้ชื่อใหม่ว่า Monsters at Work มาลงในแพลตฟอร์มเช่นกัน ส่วน Star Wars จะมีซีรีส์ The Mandalorian ส่งมาให้ดูกัน รวมถึงจะมี Star Wars Clone Wars และ Rogue One: A Star Wars Story ในรูปแบบ Live-action อีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีไฮท์ไลท์อีกหลายอย่าง อาทิ คอนเทนต์จาก National Geographic และเป็นไปได้ว่าอาจมีการดึงเอาคอนเทนต์บางตัวจาก EPSN+ และ Hulu ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอีกรายที่ Disney มีหุ้นอยู่ถึง 60% มาลงบน Disney+ ด้วย
YouTube Premium
ถึงแม้ว่า YouTube Premium จะยังไม่ได้เปิดให้บริการที่ไทย แต่เชื่อว่าไม่นานนี้จะสามารถเปิดบริการได้อย่างเต็มที่แน่นอน เพราะสงครามสตรีมมิ่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และที่ต้องนำ YouTube Premium มาเทียบฟอร์มด้วย ก็ต้องไม่ลืมว่า Youtube คือรายใหญ่ของวิดีโอคอนเทนต์ และมีครีเอเตอร์ผู้ผลิตคอนเทนต์มากมายอยู่ในมือที่มิอาจมองข้ามได้เลย ไม่เพียงแค่นั้น ยังเป็นผู้ผลิตวิดีโอคอนเทนต์ที่มีผู้รับชมมากเป็นอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย จึงเป็นอีกหนึ่งผู้ให้บริการที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย เพราะเร็วๆ นี้มีข่าวว่าจะดำเนินการอย่างเต็มตัว
YouTube Premium เดิมชื่อ YouTube Red เกิดจากการรีแบรนด์ดิ้งใหม่ มีบริการที่น่าสนใจดังนี้
- YouTube Music บริการสำหรับฟังเพลงแบบสตรีมที่มาพร้อมกับระบบการค้นหาเพลงอย่างง่าย และมีการคัดแยกเพื่อให้เหมาะสำหรับแต่ละบุคคลด้วย
- YouTube Premium สามารถรับชมวิดีโอได้ทุกหมวดใน YouTubeโดยไม่มีโฆษณา สามารถดาวน์โหลดเพลงหรือวิดีโอมาดูได้ไม่จำกัด แล้วยังมี ภาพยนตร์และภาพยนตร์ต้นฉบับ เช่น Cobra Kai, Step Up: High Water และ Impulse
สำหรับราคาของ YouTube Premium จะอยู่ที่ $11.99 ต่อเดือน ส่วน YouTube Music จะมีราคาอยู่ที่ $9.99 ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ YouTube ประกาศเพียงแผนเท่านั้น รอการใช้งานอย่างเป็นทางการ และเมื่อเปิดใช้งานแล้วผู้ใช้งานที่ใช้ YouTube Red จะถูกปรับเป็น YouTube Premium โดยอัตโนมัติ เรียกได้ว่าเป็นอีกแพล็ตฟอร์มที่น่าสนใจและน่าติดตามอย่างมากทีเดียว
ทั้ง 3 แพล็ตฟอร์มนี้ เชื่อว่าการแข่งขันครั้งนี้อยู่ที่คอนเทนต์มากกว่าเรื่องราคา เพราะถ้าเนื้อหาดีน่าสนใจมากพอ ผู้บริโภคพร้อมที่จะจ่ายเงินเพื่อรับชม ดังนั้น เชื่อว่าใน 2-3 ปีนี้เราะจะได้เห็นคอนเทนต์ดีๆ ใหม่ๆ ออกมาจากทั้ง 3 ค่ายนี้แน่ ผลกำไรน่าจะตกที่ผู้บริโภคอย่างเรานี่แหละ.
Copyright© Bsite.In
ABOUT THE AUTHOR
ทีมงาน bsite
Biographical Info