- Lifestyle
JOB DONE! ในวันที่ หงส์แดง ท็อปฟอร์ม!
By Sweeper Keeper • on Mar 15, 2019 • 1,931 Views
ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ด้วยการบุกไปปราบ เสือใต้ ได้ถึงถิ่น
ก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้น แฟนๆ หงส์แดง น่าจะรู้สึกกังวลใจกันไม่น้อย หากมองย้อนกลับไปดูสถิติการเล่นเป็นทีมเยือนในแชมเปี้ยนส์ ลีกของ ลิเวอร์พูล ปีนี้
เพราะในรอบแบ่งกลุ่มที่ผ่านมาพวกเขาแพ้รวดในเกมเยือน โดยบุกไปแพ้เพื่อนร่วมกลุ่มทั้ง นาโปลี (0-1), เรด สตาร์ (0-2) และ เปแอสเช (1-2)
แถมนัดนี้ทีมที่ต้องบุกไปเยือนคือ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งฟอร์มกำลังเข้าฝักไล่ถล่มคู่แข่งมาแล้วสองนัดติดต่อกัน โดยเฉพาะนัดล่าสุดที่พวกเขาต้อนเอาชนะ โวล์ฟสบวร์ก ไปถึง 6-0 ที่สนาม อัลลิอันซ์ อารีน่า แห่งนี้
ด้วยเหตุผลข้างต้น หลังจากเสมอกันมา 0-0 ในนัดแรกที่แอนฟิลด์ เชื่อเหลือเกินว่า เด็กหงส์ ส่วนใหญ่คงหวังแค่ขอผ่านเข้ารอบด้วยผลเสมอแบบมีสกอร์ก็พอใจแล้ว
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับกลายเป็นว่า ลิเวอร์พูล สามารถบุกไปอัด บาเยิร์น มิวนิค ได้ถึง 1-3 ซึ่งถือว่าเป็นสกอร์ที่เกินความคาดหมาย
ยิ่งใครที่ไม่ได้ชมเกมถ่ายทอดสด แต่ตื่นมาเช็คผลตอนเช้าแล้วเห็นสกอร์ขาดขนาดนี้ คงคิดว่า ทีมเสือใต้ น่าจะแพ้หมดรูป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่!
เพราะเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่ออกมาหลังจบเกม บาเยิร์น ครองบอลถึง 58% ส่วน ลิเวอร์พูล ครองบอลเพียง 42%
ใครที่ได้ดูเกมนี้คงเห็นว่า เป็นทีมเจ้าบ้านที่ครองเกมบุกเข้าใส่มากกว่า โดยเฉพาะช่วงท้ายครึ่งแรกหลังจากได้ลูกตีเสมอ เป็นทางฝ่าย บาเยิร์น ที่โหมบุกเข้าใส่ ลิเวอร์พูล อย่างหนักจนออกอาการเจียนอยู่เจียนไป
เพียงแต่ว่าปัญหาของ บาเยิร์น ในเกมนี้ก็คือ พวกเขาเปลี่ยนเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่เหนือกว่า ให้เป็นโอกาสยิงประตูไม่ค่อยได้
โดยในเกมนี้ แม้ ลิเวอร์พูล จะเป็นฝ่ายครองบอลน้อยกว่าก็ตาม แต่พวกเขากลับมีโอกาสยิงมากกว่า (10 ต่อ 7 ครั้ง)
และเมื่อมาดูโอกาสยิงประตูเข้ากรอบ ซี่ง ลิเวอร์พูล ก็ยิงเข้ากรอบก็มากกว่าอีกเช่นกัน (6 ต่อ 2 ครั้ง) นั่นยิ่งชัดเจนว่า หงส์แดง มีความเด็ดขาดกว่า เสือใต้ ในเกมนี้ เพราะการยิงเข้ากรอบ 6 ครั้งของพวกเขา เป็นประตูถึง 3 ประตู
เอาง่ายๆ ว่า ขนาดประตูที่ บาเยิร์น ได้ ก็ยังเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของนักเตะลิเวอร์พูล นั่นหมายความว่า ถ้า โจเอล มาติป ไม่ช่วยสงเคราะห์ประตูนี้ให้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า บาเยิร์น จะยิงได้ในเกมนี้หรือเปล่า?
อีกอย่างหนึ่งที่เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายก็คือ เกมนี้เป็นเกมที่ บาเยิร์น ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินหน้าบุกเข้าใส่ เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายได้เล่นในบ้าน และต้องการทำประตูขึ้นนำ
นั่นทำให้เกมนี้ เป็นเกมที่ เข้าทาง ลิเวอร์พูล มากกว่า เพราะพวกเขาขึ้นชื่อลือชาในการเล่นเกมสวนกลับอยู่แล้ว
ซึ่งหากใครได้ตามดูผลงานของ ลิเวอร์พูล มาตลอด จะทราบดีว่า ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มักจะมีปัญหาในยามที่ต้องเจอกับทีมที่ลงไปตั้งรับลึก แต่จะทำผลงานได้ดีในเกมที่คู่แข่งบุกเข้าใส่ เพราะพวกเขาจะมีพื้นที่ให้เล่นเกมโต้กลับเยอะนั่นเอง
สำหรับแม็ตช์นี้ เกมสวนกลับของ ลิเวอร์พูล ดูน่ากลัวยิ่งขึ้นทันที หลังจากที่ได้ประตูขึ้นนำ 1-2 แล้ว นิโก้ โควัช กุนซือ บาเยิร์น ตัดสินใจเปิดหน้าแลก ด้วยการถอด มาร์ติเนซ ซึ่งเป็นมิดฟิลด์ตัวรับออก แล้วส่ง โกเรทซ์ก้า มิดฟิลด์ตัวรุกลงไปแทน
เท่านั้นแหละ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะยิ่งเข้าทาง ลิเวอร์พูล มากขึ้นไปอีก เพราะเกมในแดนกลางที่บดบี้กันมาตลอด ถูกคลายออกไปแล้วเรียบร้อย
เมื่อ บาเยิร์น ไม่มิดฟิลด์ตัวทำลายเกมอยู่ในสนาม ก็เลยทำให้ ลิเวอร์พูล เล่นเกมโต้กลับที่ถนัดได้สะดวกขึ้น จนเกือบจะสำเร็จโทษ บาเยิร์น ได้หลายต่อหลายครั้ง ก่อนที่จะมาได้ประตูย้ำชัยชนะจากลูกโขกของ มาเน่ ช่วงท้ายเกม
พูดถึง ซาดิโอ มาเน่ แล้ว ต้องบอกว่า ช่วงนี้เป็นช่วง ท็อปฟอร์ม ของเขาจริงๆ โดย 2 ประตูที่ทำได้ในเกมนี้ ทำให้ มาเน่ ยิงประตูรวมทุกรายการให้กับ ลิเวอร์พูล ไปแล้วถึง 19 ลูก (ไม่มีจุดโทษเลยแม้แต่ลูกเดียว)
นอกจาก มาเน่ จริงๆ แล้วเกมนี้ มีนักเตะ ลิเวอร์พูล ที่เล่นได้โดดเด่นอยู่หลายคน ไม่ว่าจะเป็น มาติป ที่ถ้าไม่นับลูกทำเข้าประตูตัวเองแบบสุดวิสัย เขาตามประกบ เลวานดอฟสกี้ ได้แบบอยู่หมัด ขณะที่ ฟาบินโญ่ ซึ่งลงมาแทน เฮนเดอร์สัน ตั้งแต่ต้นเกม ก็ช่วยเก็บกวาดทุกสิ่งอย่างในแดนกลางได้แบบไร้ที่ติ
ส่วน ซาล่าห์ ที่ถึงแม้จะทำประตูไม่ได้ แต่เกมนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นว่า เขาคือคีย์แมนสำคัญของทีม เพราะนอกจากหนึ่งแอสซิสต์ที่ทำได้แล้ว ซาล่าห์ ยังช่วยกระชากลากเลี้อยป่วนแนวรับของ บาเยิร์น ได้ตลอดทั้งเกม
แต่นักเตะที่ส่วนตัวรู้สึกปลื้มเป็นพิเศษก็คือ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เพราะนอกจากจะยืนคุมแนวรับจนทำให้ทีมที่มีเกมรุกจัดจ้านอย่าง บาเยิร์น ถึงกับไปไม่เป็นแล้ว ฟาน ไดจ์ค ยังมีส่วนร่วมกับทั้ง 3 ประตูที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ในเกมนี้อีกด้วย
ลูกแรก เขาวางบอลจากแดนหลังให้ มาเน่ หลุดเข้าไปยิง ลูกที่สอง เขาเป็นคนโหม่งให้ทีมได้ประตูจากลูกเตะมุม ส่วนลูกที่สาม ก็เริ่มมาจากที่เขาวางบอลจากกลางสนามให้ โอริกี้ ส่งต่อไปให้ ซาล่าห์ ตักบอลให้ มาเน่ โหม่งเข้าประตูไป
สำหรับฟอร์มของ ฟาน ไดจ์ค ณ ตอนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขามีทุกองค์ประกอบของการเป็น กองหลังระดับโลก! (บางคนยกย่องเขาให้เป็น กองหลังที่ดีที่สุดในโลก แล้วด้วยซ้ำ!)
เพราะฉะนั้น 75 ล้านปอนด์ ที่ ลิเวอร์พูล ลงทุนจ่ายเป็นค่าตัวของเขานั้น คุ้มค่าทุกเพนนี!
สรุปว่า นี่เป็นอีกหนึ่งเกมที่ แชมป์ยุโรป 5 สมัย อย่าง ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมมากๆ และสมควรแล้วที่ได้เป็นผู้เข้ารอบต่อไป
จะมีรอยตำหนิอยู่นิดเดียวตรง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ดันไปเสียใบเหลืองแบบไม่น่าเสียช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งทำให้เขาติดโทษแบนอดลงสนามนัดหน้า
ชัยชนะเหนือ บาเยิร์น มิวนิค เกมนี้ ส่งให้ ลิเวอร์พูล มาตามนัด กลายเป็นทีมจากอังกฤษทีมที่ 4 ต่อจาก แมนฯ ยูไนเต็ด, สเปอร์ส และ แมนฯ ซิตี้ ที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก
ส่วนอีก 4 ทีมที่ผ่านเข้ารอบมาด้วย ได้แก่ บาร์เซโลน่า, ยูเวนตุส, อาแจ็กซ์ และ ปอร์โต้ ซึ่งแฟนบอลอาจจะทราบผลการประกบคู่ไปแล้วว่า ใคร เจอกับ ใคร…
เครดิตภาพ : www.standard.co.uk, www.espn.co.uk
Copyright© Bsite.In
ABOUT THE AUTHOR
Sweeper Keeper
แม้ก่อนหน้านี้จะเคยผ่านงานเขียนบทความเกี่ยวกับ หนัง และ เพลง มาพอสมควร แต่ด้วยความที่ชอบดูฟุตบอลลีกอังกฤษ และมี ลิเวอร์พูล เป็นทีมโปรดในดวงใจ เขาจึงขอโอกาสมาแบ่งปันมุมมองด้านลูกหนังให้ได้อ่านกันบ้าง