กลับมาโชว์ฟอร์มสุดยอดสมกับทีมว่าที่แชมป์อีกครั้งสำหรับ ลิเวอร์พูล ที่เปิดบ้านไล่ถล่ม คริสตัล พาเลซ ผู้มาเยือนไป 4-0

ชัยชนะในเกมนี้ทำให้ทีมหงส์แดงขยับเข้าใกล้ถ้วยพรีเมียร์ ลีกไปอีกขั้น โดยพวกเขาต้องการอีกเพียงแค่ 2 แต้มเท่านั้น จากเกมที่เหลืออยู่ในมืออีก 7 นัด

สำหรับสถานการณ์บนตารางคะแนน ณ ตอนนี้ ลิเวอร์พูล เก็บไปแล้ว 86 แต้มจาก 31 นัด นำหน้าทีมอันดับสองแมนฯ ซิตี้ที่เตะน้อยกว่า 1 นัดอยู่ 23 แต้ม

คำถามก็คือ เมื่อไหร่แต้มถึงจะขาด? และตอนไหนที่ ลิเวอร์พูล จะสิ้นสุดการรอคอยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีมาครองได้เสียที? ไปดูกันเลย…

เงื่อนไขที่ 1

หากแมนฯ ซิตี้ไม่สามารถเก็บสามแต้มหรือแม้กระทั่งทำได้แค่เสมอเก็บหนึ่งแต้มได้ในเกมที่ต้องบุกไปเยือนเชลซีที่ แสตมฟอร์ด บริดจ์ จะส่งให้ ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ทันที

ซึ่งถ้าผลออกมาเป็นแบบนั้น เกมนัดต่อไปที่แมนฯ ซิตี้จะต้อนรับการมาเยือนของลิเวอร์พูล ลูกทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าจะต้องปฎิบัติตามธรรมเนียมด้วยการยืนตั้งแถวปรบมือให้กับ ลิเวอร์พูล ทีมผู้เป็นแชมป์ตอนที่เดินลงสู่สนาม

เงื่อนไขที่ 2

แต่ถ้าเกิดว่าแมนฯ ซิตี้สามารถบุกไปปราบทีมของแฟรงค์ แลมพาร์ดได้สำเร็จ ลิเวอร์พูล ขอเพียงแค่บุกไปเสมอกับแมนฯ ซิตี้ในเกมต่อไปก็จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกทันที

เงื่อนไขที่ 3

และถึงแม้ว่าทีมเรือใบสีฟ้าจะสามารถยื้อเวลาเอาไว้ได้ด้วยการเอาชนะทั้งเชลซีและลิเวอร์พูล แต่ลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ก็จะเถลิงแชมป์ทันทีหากในเกมถัดไปพวกเขาเปิดบ้านเอาชนะแอสตัน วิลล่าได้ที่แอนฟิลด์

ซึ่งเมื่อมองดูจากเงื่อนไขทั้งสามข้อข้างต้นแล้ว หากไม่เกิดเหตุุการณ์ไม่คาดฝันแบบชนิดที่ฟ้าถล่ม ดินทลายแล้วล่ะก็ คงต้องบอกว่าแชมป์นี้เป็นของลิเวอร์พูล แทบจะแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ขึ้นอยู่เพียงว่าจะช้าหรือเร็วแค่ไหนเท่านั้น

ว่าแล้ว…ขอแสดงความยินดีกับสาวกเดอะ ค็อปทั่วโลกล่วงหน้าด้วยครับ

ชัยชนะที่มีต่อ เซาธ์แฮมป์ตัน ในเกมเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้ ลิเวอร์พูล แซง แมนฯ ซิตี้ กลับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงชั่วคราวได้สำเร็จ

สำหรับเกมนี้ เราคงได้เห็นกันไปแล้วว่า เป็นอีกครั้งที่กว่า ลิเวอร์พูล จะเอาชนะคู่แข่งได้นั้น แฟนๆ ต้องลุ้นกันอย่างหนักจนถึงช่วงท้ายเกม

โดยการบดเอาชนะ ทีมนักบุญ ไปได้ในเกมนี้ ถือเป็นเกมที่สามติดต่อกันแล้วที่ หงส์แดง คว้าสามแต้มมาได้แบบ หืดจับ!

แง่หนึ่ง มันอาจเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า นักเตะ ลิเวอร์พูล สามารถก้าวผ่านความกดดันไปได้ ยามที่ต้องลงสนามเพื่อสามแต้มเท่านั้น ในช่วงโค้งสุดท้ายของการลุ้นแชมป์แบบนี้

อีกแง่หนึ่ง นี่จะเป็นบททดสอบ หัวจิตหัวใจ ของสาวก ลิเวอร์พูล ทุกคนด้วยเช่นกันว่า แข็งแกร่ง ขนาดไหน?

เพราะอย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ในสามนัดล่าสุดกว่าที่ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้นั้น ทำเอาแฟนบอลต้องลุ้นกันชนิดหัวใจแทบวายทุกนัด

ไล่ไปตั้งแต่ เกมที่บุกไปเอาชนะ ฟูแล่ม ได้ 1-2 ลิเวอร์พูล ก็เฉือนเอาชนะไปได้จากลูกจุดโทษของ เจมส์ มิลเนอร์ ในนาทีที่ 81

ขณะที่เกมก่อนหน้านี้ ก็ได้สามคะแนนจาก สเปอร์ส แบบมีโชค ด้วยลูกทำเข้าประตูตัวเองของ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ ในนาทีที่ 90

มาจนถึงเกมล่าสุดกับ เซาธ์แฮมป์ตัน แฟนๆ ก็ต้องรอถึงนาทีที่ 80 กว่าที่ ซาล่าห์ จะมายิงประตูขึ้นนำได้สำเร็จ

ถ้าลองย้อนกลับไปดูตั้งแต่เปิดฤดูกาล เมื่อรวมสามนัดที่พูดถึงไปข้างต้น หากนับกันจริงๆ น่าจะมีอยู่ร่วมๆ 10 นัดเลยทีเดียว ที่หัวใจของสาวกหงส์แดงทั้งหมู่มวลต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ เพราะต้องลุ้นกันชนิดใจหายใจคว่ำถึงท้ายเกม

เท่าที่จำได้ ในบรรดาเกมเหล่านั้น มีเกมที่ทีมเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน จากประตูชัยของ โอริกี้ ในนาทีที่ 96 มีเกมที่ทีมบุกไปไล่ตีเสมอ เชลซี จากลูกยิงของ สเตอริดจ์ ในนาทีที่ 89

อีกเกมหนึ่งที่แฟนๆ คงจำได้ดีก็คือ เกมในแชมเปี้ยนส์ ลีกที่เอาชนะ เปแอสเช ไป 3-2 ลิเวอร์พูล ก็มาได้ประตูชัยจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ในนาทีที่ 91

หรือ เกมที่เฉือนเอาชนะ สเปอร์ส ที่เวมบลีย์ 1-2 ลิเวอร์พูล ก็รอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด เพราะไม่เสียลูกจุดโทษก่อนหมดเวลาเพียงอีกไม่กี่อึดใจ

ทั้งหลายทั้งปวง คงเป็นเรื่องที่ไม่เกินไปเลยนัก หากจะบอกว่า หลังจากที่กล้ามเนื้อหัวใจได้ เอ็กเซอร์ไซส์ ไปกับการลุ้นทีมโปรดของตัวเองมาตลอด 8 เดือน

ณ วินาทีนี้ แฟนบอล ลิเวอร์พูล น่าจะเป็นแฟนบอลที่หัวใจแกร่งสุดๆ

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กำลังลุ้นแชมป์อยู่ตอนนี้ ไหนจะต้องตามแช่งให้ แมนฯ ซิตี้ สะดุดแล้ว สาวก หงส์แดง ยังต้องตามเชียร์ทีมรักของตัวเองเก็บสามแต้มให้ได้ทุกนัดอีกด้วย

ซึ่งบอกได้เลยว่า 5 เกมที่เหลืออยู่ ไม่ว่าคู่ต่อสู้ของ ลิเวอร์พูล จะเป็นใคร ไม่มีเกมไหนที่ง่ายแน่นอน มิหนำซ้ำ น่าจะมีหลายนัดที่แฟนๆ คงต้องลุ้นกันชนิดใจแทบขาดอีกตามเคย

เมื่อเป็นเช่นนั้น สำหรับเหล่า เดอะ ค็อป ที่ หัวใจ ยังเก็บ เลเวล มาไม่มากพอ

ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า นับจากนี้ไป โปรดหลีกเลี่ยงการชมแม็ตช์ที่ ลิเวอร์พูล ลงเตะ จะเป็นการดีที่สุด!!!

เครดิตภาพ : www.premierleague.com, www.standard.co.uk

Copyright© Bsite.In

คว้าสามคะแนนได้ตามความคาดหมายสำหรับ ลิเวอร์พูล ที่สามารถบุกไปเอาชนะ ไบรท์ตัน ได้ถึงถิ่น 1-3

ทำให้ตอนนี้ทีมหงส์แดงเก็บไปแล้ว 92 แต้มจากการลงสนาม 34 นัด ทิ้งห่างอันดับสองแมนฯ ซิตี้แบบสุดกู่ถึง 23 คะแนน

และแม้จะเป็นแชมป์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ลิเวอร์พูลยังคงเดินหน้าต่อไปกับเป้าหมายในการเก็บให้ได้เกิน 100 แต้ม เพื่อที่จะได้เป็นทีมแชมป์พรีเมียร์ ลีกที่ทำคะแนนสูงสุดแซงหน้าที่ทีมเรือใบสีฟ้าเคยทำไว้

แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น ชัยชนะเหนือไบรทตันในเกมนี้ก็ทำให้เกิดสถิติใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย และต่อไปนี้คือ 10 ประเด็นเก็บตกที่เรารวบรวมมาฝากกัน

1. ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ชนะเกมลีกได้ 30 นัด (จาก 34 เกม) ในหนึ่งฤดูกาลเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำลายสถิติของแมนฯ ซิตี้ที่เคยเก็บชัยชนะได้ 30 นัดจาก 35 เกมเมื่อฤดูกาล 2017/18

2. ลิเวอร์พูล ชนะเกมเยือนเป็นนัดที่ 13 แล้วในฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นการทำสถิติชนะเกมเยือนมากที่สุดของประวัติศาสตร์สโมสรเท่ากับที่ตัวเองทำเคยไว้

3. หลังจากที่ยิงประตูเกมเยือนในทุกรายการไม่ได้มานาน 7 ชั่วโมงกับอีก 47 นาที (แอตฯ มาดริด, วัตฟอร์ด, เชลซี, เอฟเวอร์ตัน และแมนฯ ซิตี้) เกมนี้ ลิเวอร์พูล ยิงได้สองประตูในเวลาเพียง 127 วินาที

4. การขึ้นนำ 2-0 ในเกมนี้หลังผ่านไปเพียง 8 นาที ถือเป็นการขึ้นนำคู่แข่งด้วยสกอร์ 2-0 เร็วที่สุดในเกมพรีเมียร์ ลีกของลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ที่พวกเขาเคยขึ้นนำฟูแล่มสองลูก (โดยใช้เวลาไป 7 นาที) ในเกมที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2011

5. สองประตูที่ยิงได้ในเกมนี้ทำให้ โม ซาล่าห์ มีส่วนร่วมกับการทำประตูรวม 8 ลูกจากการลงสนาม 6 เกมที่พบกับไบรท์ตันในพรีเมียร์ ลีก โดยเป็นการยิง 5 ประตู กับ 3 แอสซิสต์

6. นับตั้งแต่พรีเมียร์ ลีกกลับมารีสตาร์ท ซาล่าห์ มีส่วนร่วมโดยตรงกับการได้ประตูมาแล้ว 6 ลูกจากการลงสนามไป 4 เกม (3 ประตู 3 แอสซิสต์)

7. นอกจากนั้น สองประตูที่ทำได้ในเกมนี้ยังส่งให้ ซาล่าห์ มีส่วนร่วมกับการทำประตูมาแล้วทั้งหมด 129 (94 ประตู 36 แอสซิสต์) จาการลงสนามทุกรายการ 148 นัด

8. ประตูของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คือประตูลูกที่สี่แล้วที่เขาทำได้ในฤดูกาลนี้ โดยสามซีซั่นก่อนหน้ากัปตันทีมลิเวอร์พูลยิงรวมกันได้เพียง 3 ลูกเท่านั้น

9. แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ทำแอสซิสต์ลูกที่ 9 ได้ในเกมนี้ โดยพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้ ร็อบโบ้ ทำแอสซิสต์ได้เป็นรองเพียงเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (12 ครั้ง) และ เควิน เดอ บรอยน์ (18 ครั้ง) เท่านั้น

10. หลังจากที่ทำได้แค่ 2 แอสซิสต์จากการลงสนาม 12 เกมแรกในสีเสื้อลิเวอร์พูล นาบี เกอิต้า ทำแอสซิสต์ไปแล้ว 2 ครั้งจาก 2 เกมล่าสุดในพรีเมียร์ ลีก

เครดิตภาพ : Evening Standard

กลับสู่เส้นทางแห่งชัยชนะอีกครั้งสำหรับ ลิเวอร์พูล ทีมแชมป์พรีเมียร์ ลีก เมื่อพวกเขาเปิดแอนฟิลด์เอาชนะแอสตัน วิลล่าไปได้ 2-0

อย่างไรก็ตาม ชัยชนะเกมนี้กว่าจะได้มาก็เล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกันเพราะกว่าจะได้ประตูแรกจาก ซาดิโอ มาเน ต้องรอจนกระทั่งถึงนาทีที่ 71 ก่อนที่นักเตะดาวรุ่งของทีม เคอร์ติส โจนส์ ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนที่ของนาบี้ เกอิต้าจะยิงประตูปิดกล่องในนาทีที่ 89 ให้ ลิเวอร์พูล ชนะ วิลล่า ไป 2-0

และต่อไปนี้คือ 10 ประเด็นเก็บตกชัยชนะนัดแรกของ ลิเวอร์พูล หลังคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกที่เรารวบรวมมาฝากกัน…

1. ชัยชนะนัดนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล เพิ่มสถิติไม่แพ้ใครในเกมพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์เป็นนัดที่ 57 (ชนะ 47 เสมอ 10)

2. ลิเวอร์พูล ชนะเกมพรีเมียร์ ลีกในบ้านมาแล้ว 24 นัดติดต่อกัน หากนับเฉพาะฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ลงเตะในแอนฟิลด์มาแล้ว 17 นัด และชนะนัดรวดทั้ง 17 นัด

3. สองประตูในเกมนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล ยิงประตูรวมทุกรายการที่ลงเล่นในแอนฟิลด์ครบ 300 ลูก ภายใต้การคุมทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ 127 เกม

4. ประตู 1-0 ของ ซาดิโอ มาเน่ เป็นประตูลูกที่ 6 จาก 6 เกมที่เขายิงได้ในการลงสนามพบกับ แอสตัน วิลล่า โดยทีมที่โดนมาเน่ยิงประตูมากกว่านี้ได้แก่ คริสตัล พาเลซ โดยเขายิงไป 9 ลูกจากการลงสนาม 11 เกม

5. นอกจากนั้นประตูนี้ของ มาเน่ ยังทำให้เขายิงทุกรายการได้อย่างน้อย 20 ประตูให้กับลิเวอร์พูล เป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกัน

6. เคอร์ติส โจนส์ กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุด (19 ปีกับอีก 157 วัน) ที่ทำประตูแรกในพรีเมียร์ ลีกให้กับ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยิงประตูแรกได้ในเกมลีกนัดที่เปิดแอนฟิลด์เอาชนะสวอนซีไป 5-0 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2017

7. แอสซิสต์ของ โม ซาล่าห์ ในเกมนี้ทำให้เขากลายเป็นนักเตะมีส่วนร่วมกับการทำประตูครบ 100 ลูกเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีก โดยเป็นการยิง 73 ประตู + 27 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 116 นัด

8. หากนับเฉพาะฤดูกาลนี้ ซาล่าห์ มีส่วนร่วมกับการทำประตูไปทั้งหมด 25 ลูก เป็นรองแค่ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ทำไป 28 ลูก

9. อลิสซอน เบ็คเกอร์เก็บคลีทชีทในพรีเมียร์ ลีกได้เป็นนัดที่ 13 มากที่สุดเท่ากับนิค โป๊ปของเบิร์นลี่ย์ ทั้งๆ ที่ อลิสซอน ลงเฝ้าเสาน้อยกว่า 9 นัด

10. ชัยชนะ 2-0 เหนือแอสตัน วิลล่า เป็นการชนะแบบคลีทชีทนัดที่ 15 ในพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้ของลิเวอร์พูล

เครดิตภาพ :　www.standard.co.uk　

หลังจากที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้ไปครองอย่างเป็นทางการแล้วเรียบร้อย…

สถิติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นทันทีที่พวกเขาเป็นแชมป์ในนัดที่ 31 ของฤดูกาลก็คือ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเร็วที่สุด โดยพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ได้ทั้งๆ ที่เหลือการแข่งขันอีกถึง 7 นัด

หากนับเฉพาะหลังจากที่ลีกสูงสุดของอังกฤษเปลี่ยนชื่อมาเป็นพรีเมียร์ ลีก ลิเวอร์พูล ทำลายสถิติที่ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าร์ทำเอาไว้ในฤดูกาล 2017/18 ที่แมนฯ ซิตี้คว้าแชมป์ได้โดยเหลือการแข่งขันอีก 5 นัด รวมถึงทำลายสถิติของแมนฯ ยูไนเต็ดในยุคของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่คว้าแชมป์ในฤดูกาล 2000/01 โดยยังเหลืออีก 5 แม็ตช์เช่นกัน

อีกอย่างหนึ่ง ที่น่าจะทำให้แฟนบอลหลายๆ ต้องทึ่งกับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีของ ลิเวอร์พูล คราวนี้ก็คือ งบประมาณที่พวกเขาลงทุนซื้อนักเตะ

ทีมของ เจอร์เก็น คล็อปป์ คว้าแชมป์ฤดูกาลนี้ ด้วยนักเตะที่แทบจะเป็นชุดเดิมจากที่คว้ารองแชมป์ด้วยการมี 97 แต้มในฤดูกาลก่อน

หากไม่นับนักเตะที่คว้าตัวมาแบบฟรีๆ ลิเวอร์พูล ใช้เงินซื้อนักเตะอย่าง เซ็ปป์ ฟาน เด็น เบิร์ก ในช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว และ ทาคูมิ มินามิโนะ ที่ย้ายมาอยู่กับทีมในช่วงเดือนมกราคมปีนี้ด้วยเงินรวมกันเพียง 8.6 ล้านปอนด์เท่านั้น

และเมื่อย้อนกลับไปดูทีมที่คว้าแชมป์ใน 10 ฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล คือทีมทีมแชมป์พรีเมียร์ ลีกที่ใช้เงินซื้อนักเตะน้อยที่สุดรองจากทีมแมนฯ ยูไนเต็ดที่คว้าแชมป์ฤดูกาล 2010/11 โดยซีซั่นนั้นเซอร์ฯ อเล็กซ์ใช้เงินซื้อนักเตะไป 6.3 ล้านปอนด์

ในขณะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่าร์ ใช้งบซื้อนักเตะไปถึง 284.4 ล้านปอนด์ ในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกสมัยแรกของตัวเอง และในปีถัดมาทีมเรือใบสีฟ้าก็ต้องควักเงินอีก 60.8 ล้านปอนด์สำหรับการบดบี้ตำแหน่งแชมป์กับลิเวอร์พูล ที่สุดท้ายแล้วพวกเขาเบียดเข้าป้ายด้วยการเฉือนชนะแค่แต้มเดียว

พูดมาถึงตรงนี้หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า แล้วที่ผ่านมาแชมป์พรีเมียร์ ลีกแต่ละทีมใช้เงินซื้อนักเตะไปทีมละเท่าไหร่

และต่อไปนี้คือจำนวนเงินที่ลงทุนซื้อนักเตะของทีมแชมป์พรีเมียร์ ลีกใน 10 ฤดูกาลที่ผ่านมา…

2010/11 แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้เงินไป 6.3 ล้านปอนด์
2011/12 แมนฯ ซิตี้ ใช้เงินไป 89 ล้านปอนด์
2012/13 แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้เงินไป 62.1 ล้านปอนด์
2013/14 แมนฯ ซิตี้ ใช้เงินไป 91.9 ล้านปอนด์
2014/15 เชลซี ใช้เงินไป 119.3 ล้านปอนด์
2015/16 เลสเตอร์ ใช้เงินไป 27.3 ล้านปอนด์
2016/17 เชลซี ใช้เงินไป 120.5 ล้านปอนด์
2017/18 แมนฯ ซิตี้ ใช้เงินไป 284.4 ล้านปอนด์
2018/19 แมนฯ ซิตี้ ใช้เงินไป 60.8 ล้านปอนด์
2019/20 ลิเวอร์พูล ใช้เงินไป 8.6 ล้านปอนด์

ในที่สุดก็รีสตาร์ทกลับมาแข่งขันกันเป็นที่เรียบร้อย สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ ลีกอังกฤษ…

แน่นอนว่าการแข่งแบบปิดสนามทำให้แฟนบอลต้องมาตามลุ้น ตามเชียร์ทีมรักของตัวเองอยู่ที่บ้าน ด้วยเหตุผลนี้นี่เองที่ทำให้ยอดผู้ชมเกมผ่านการถ่ายทอดสดทางหน้าจอทีวีเพิ่มขึ้นจนทำลายสถิติเดิม

โดยทาง สกาย สปอร์ตส์ เจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่อังกฤษได้รายงานว่า เกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ระหว่าง เอฟเวอร์ตัน กับ ลิเวอร์พูล เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (ตามเวลาในเมืองไทย) กลายเป็นแม็ตช์การแข่งขันที่มีผู้ชมมากที่สุดทำลายสถิติของพรีเมียร์ ลีก

แม้อย่างที่ทราบกันว่า ผลการแข่งขันของสองทีมอริร่วมเมืองในเกมนี้จะลงเอยด้วยการเสมอกันไป 0-0 แต่ปรากฎว่ามียอดผู้ชมฟุตบอลคู่นี้ผ่านทาง สกาย สปอร์ตส์ และ Pick TV รวมกันถึง 5.5 ล้านคน

ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นจำนวนผู้ชมที่มากกว่าเจ้าของสถิติเดิมนั่นก็คือเกมคู่ระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 2011/12 ที่มียอดผู้ชมแมนเชสเตอร์ดาร์บี้นัดนี้ผ่านหน้าจอทีวี 4.30 ล้านคน

โดยเกมดังกล่าว แวงซองต์ กอมปานี เป็นผู้โหม่งประตูชัยให้ทีมเรือใบสีฟ้าเอาชนะทีมปีศาจแดงไปได้ 1-0

นอกจากนี้ เกมระหว่าง บอร์นมัธ ที่เปิดบ้านแพ้ให้กับ คริสตัล พาเลซ ไป 0-2 ซึ่งถ่ายทอดสดผ่านทาง BBC 1 และ BBC iPlayer มียอดผู้ชมรวมกันทั้งหมด 4.50 ล้านคน ซึ่งมากกว่าคู่ของแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติเดิมเช่นกัน

10 อันดับ แม็ตช์พรีเมียร์ ลีกที่มีผู้ชมผ่านหน้าจอมากที่สุดมีดังนี้…

ในที่สุดก็กลับสู่เส้นทางแห่งชัยชนะอีกครั้งสำหรับ ลิเวอร์พูล หลังจากที่ก่อนหน้านี้แพ้ไป 3 จาก 4 เกมหลังสุดจากทุกรายการ…

แม้เกมที่พบกับ บอร์นมัธ จะถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่ ลิเวอร์พูล ต้องดิ้นรนอย่างหนักกว่าจะคว้าสามแต้มมาได้

แต่ถ้าถามใจสาวกหงส์แดงนาทีนี้ จะเล่นดี หรือเล่นไม่ดี ยังไงก็ไม่สำคัญเท่ากับขอชนะเอาไว้ก่อนเป็นพอ

เพราะจากชัยชนะเหนือ บอร์นมัธ ในเกมนี้ เท่ากับว่า ลิเวอร์พูล ขอเก็บชัยชนะอีกเพียง 3 นัด จาก 10 เกมที่เหลืออยู่เท่านั้น ก็จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกไปครองทันทีโดยไม่ต้องสนคะแนนของทีมอื่น

และต่อไปนี้คือ 10 ประเด็นที่น่าสนใจ หลัง ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเฉือน บอร์นมัธ ไปได้ 2-1 ซึ่งเรารวบรวมมาฝากกัน…

1. ชัยชนะเหนือ บอร์นมัธ 2-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ยืดสถิติไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์เป็น 55 นัดติดต่อกัน โดยเป็นการชนะ 45 เสมอ 10

2. การชนะในเกมนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล สร้างสถิติชนะเกมพรีเมียร์ ลีกในบ้าน 22 นัดรวด ซึ่งถือเป็นการเก็บชัยชนะเกมเหย้าติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของอังกฤษ

3. โดย 22 เกมที่ ลิเวอร์พูล ชนะรวดในแอนฟิลด์ไล่ไปตั้งแต่ ชนะ บอร์นมัธ 3-0 , วัตฟอร์ด 5-0, เบิร์นลี่ย์ 4-2, สเปอร์ส 2-1, เชลซี 2-0, ฮัดเดอร์ฟิลด์ 5-0, วูล์ฟส์ 2-0, นอริช 4-1, อาร์เซน่อล 3-1, นิวคาสเซิล 3-1, เลสเตอร์ 2-1, สเปอร์ส 2-1, แมนฯ ซิตี้ 3-1, ไบรท์ตัน 2-1, เอฟเวอร์ตัน 5-2, วัตฟอร์ด 2-0, วูล์ฟส์ 1-0, เชฟฯ ยูไนเต็ด 2-0, แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0, เซาธ์แฮมตัน 4-0, เวสต์แฮม 3-2 และบอร์นมัธ 2-1

4. ลิเวอร์พูล ชนะเกมในพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้ไปแล้ว 27 นัด ซึ่งเป็นการเก็บชัยชนะได้มากกว่าอาร์เซน่อลชุดไร้พ่ายที่ชนะไปทั้งหมด 26 นัด

5. ประตูตีเสมอของ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ในเกมนี้คือประตูที่ 70 จากการลงสนามเป็นนัดที่ 100 ในพรีเมียร์ ลีกให้ ลิเวอร์พูล

6. ซึ่งนั่นทำให้ ซาล่าห์ มีส่วนร่วมในการทำประตูไปแล้วถึง 94 ลูก (70 ประตู + 24 แอสซิสต์) นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล

7. ซาล่าห์ ทำประตูได้ 20 ลูก หรือมากกว่า ในทุกรายการได้เป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกันไล่ตั้งแต่…
ฤดูกาล 2017/18 ลงสนาม 52 นัด 44 ยิง ลูก
ฤดูกาล 2018/19 ลงสนาม 52 นัด ยิง 27 ลูก
ฤดูกาล 2019/20 ลงสนาม 39 นัด ยิงไปแล้ว 20 ลูก

8. ประตูชัยของ ซาดิโอ มาเน่ คือประตูลูกที่ 14 ของเขาในฤดูกาลนี้ โดยในซีซั่นนี้ มาเน่ ลงสนามไปทั้งหมด 26 นัด มีส่วนร่วมในการทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 21 ลูก (14 ประตู + 7 แอสซิสต์)

9. มาเน่ มีส่วนร่วมในการทำประตูไป 9 ลูก จาก 7 นัดล่าสุดในเกมพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์ โดยเป็นการยิง 5 ประตู + 4 แอสซิสต์

10. อาเดรียน ยังคงทำสถิติชนะ 100 เปอร์เซ็นต์ในยามที่ได้ลงเล่นในเกมพรีเมียร์ ลีกให้กับ ลิเวอร์พูล โดยเขาลงสนามไปแล้ว 11 นัด (สำรอง 2 เกม) ชนะทั้ง 11 นัด