- Lifestyle
ในวันที่ เทิร์ฟ มัวร์ ไม่น่ากลัวอีกต่อไป!
By Sweeper Keeper • on Sep 01, 2019 • 1,099 Views
เป็นอันว่าก่อนหลีกทางให้กับโปรแกรมทีมชาติ ลิเวอร์พูล ยังคงนำเป็นจ่าฝูงต่อไป หลังจากที่พวกเขาบุกไปเอาชนะ เบิร์นลี่ย์ ได้ 0-3
สามแต้มที่ เทิร์ฟ มัวร์ ส่งให้พวกเขาเก็บ 12 คะแนนเต็มจากการชนะ 4 นัดติดต่อกัน กลายเป็นทีมเดียวในทุกลีกของอังกฤษที่ทำสถิติชนะรวด 100%
จริงๆ แล้ว หากดูชื่อทีมคู่แข่งจาก 4 เกมที่ผ่านมา ส่วนตัวคิดว่า เกมล่าสุดที่บุกไปเยือน เบิร์นลี่ย์ นี่แหละครับที่หินที่สุด
สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า การไปเล่นที่ เทิร์ฟ มัวร์ ถือเป็นหนึ่งในสนามที่สร้างความยากลำบากให้ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปปีแรกที่ คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม ปีนั้น ลิเวอร์พูล บุกไปแพ้ 2-0 ทั้งๆ ที่เกมนี้เป็นฝ่ายครองบอลได้ถึง 80%
ครั้งที่สอง แม้จะเป็นฝ่ายได้ประตูนำไปก่อน แต่ก็ถูก เบิร์นลี่ย ตามตีเสมอในช่วงท้ายเกม ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะมาได้ประตูชัยจาก รักนาร์ คลาวาน ในนาทีที่ 90+4
ครั้งที่สามเมื่อปีก่อน ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายโดนยิงนำไปก่อน และแม้จะฮึดกลับมาแซง 1-2 แต่หลังจากนั้นก็โดน เบิร์นลี่ย์ กดดันอย่างหนักจนเกือบโดนตีเสมออยู่หลายต่อหลายครั้ง ยังดีที่ได้ อลิสซอน ช่วยเซฟเอาไว้ จนมาได้ประตูปิดกล่อง 1-3 ช่วงทดเจ็บ (อีกแล้ว) จาก ชาคิรี่
แต่กับเกมล่าสุดที่เพิ่งผ่านพ้นไป แทบจะเป็นหนังคนละม้วนเลยก็ว่าได้ เพราะ ลิเวอร์พูล บุกไปเอาชนะ เบิร์นลี่ย์ ได้แบบสบายๆ
จากที่เมื่อ 2-3 ปีก่อนต้องเล่นอย่างกระเสือกกระสนกว่าจะคว้าชัยชนะกลับออกมาได้ มาในปีนี้พวกเขาสามารถเอาชนะทีมเดียวกันได้แบบไม่ยากเย็นอะไรเลย
สำหรับผมแล้ว นี่เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่บ่งชี้ให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้นแล้วจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของเกมรับ ที่แม้แต่ ฌอน ไดซ์ ยังกล่าวชื่นชมหลังเกมว่า “ตอนนี้พวกเขาเล่นเกมรับได้อย่างแข็งแกร่ง ฟาน ไดจ์ค คือคนที่สร้างความแตกต่างอย่างยิ่งให้กับทีม ไม่ใช่เฉพาะแค่ความสามารถส่วนตัวของเขาเท่านั้น แต่มันยังส่งผลให้กับคนอื่นๆ ในทีมอีกด้วย”
“มันเป็นเรื่องยากมากที่เจาะพวกเขาได้ พวกเขาดันเกมขึ้นสูงมาก ซี่งนี่คือสิ่งสิ่งที่แตกต่างอย่างยิ่งของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ พวกเขาดันเกมรับสูงมากจริงๆ”
สิ่งที่ ฌอน ไดซ์ พูดไว้ข้างต้นคือสิ่งที่อธิบายอย่างชัดเจนแล้วว่า เพราะอะไรวิธีการที่พวกเขาเคยใช้เล่นงาน ลิเวอร์พูล ได้ในฤดูกาลที่ผ่านๆ มา นั่นคือ พอตัดบอลได้ก็ใช้บอลไดเร็กสาดยาวไปให้คู่กองหน้าที่รูปร่างสูงใหญ่ ถึงใช้ไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว
และยิ่งชัดเจนมากขึ้นไปอีก เมื่อมีสถิติที่ระบุว่า เฉพาะแค่ ฟาน ไดจ์ค คนเดียว เขาเอาชนะการดวลลูกกลางอากาศถึง 10 จาก 11 ครั้งในเกมนี้
ในขณะที่คู่กองหน้าของ เบิร์นลี่ย์ อย่าง แอชลี่ย์ บาร์นส์ (ที่ยิงประตูต่อเนื่องมาทุกนัด) และ คริส วู้ด แทบจะไม่ได้กระดิกเลยในเกมนี้ โดยทั้งคู่เอาชนะการดวลลูกกลางอากาศกับนักเตะฝั่งผู้มาเยือนได้แค่ 3 จาก 16 ครั้ง เท่านั้น
ถ้าไม่นับ ฟาน ไดจ์ค ซึ่งเป็นแกนหลักในแนวรับที่เก็บกินลูกกลางอากาศได้เกือบหมด กับ ฟีร์มิโน่ ที่วิ่งพล่านไปทั่วในเกมนี้ แถมยังเป็นคนยิงหนึ่ง จ่ายหนึ่ง และรับตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ของเกมนี้ไป
อีกคนหนึ่งที่เราจะลืมพูดถึงเขาไม่ได้เลยก็คือ ฟาบินโญ่ ซึ่งโดดเด่นมากในเกมนี้ แม้กระทั่ง ฟาน ไดจ์ค เองยังเอ่ยปากชม ฟาบินโญ่ เลยว่าวันนี้เขาเป็นเหมือนกับ ‘inspector gadget’ เพราะไม่ว่านักเตะ เบิร์นลี่ย์ ได้บอลตรงไหนของสนามเขาก็ตามหาจนเจอ แถมยังคอยปัดกวาดอยู่หน้าแผงแบ็คโฟร์จนทำให้เกมรับเล่นกันง่ายขึ้นอีกด้วย
และเมื่อ เบิร์นลี่ย์ ทำเกมบุกเข้ามาไม่ถึงในพื้นที่อันตราย อาเดรียน โกลมือหนึ่งจำเป็นของทีมที่หลายคนบอกว่าเป็นจุดอ่อน ก็เลยแทบจะไม่ได้ถูกกดดันอะไร โดยเกมนี้เขาต้องออกแรงเซฟจะๆ ครึ่งแรกและครึ่งหลังอย่างละครั้งเท่านั้น
ส่วนการออกบอลของ อาเดรียน ถึงจะยังไม่แม่นอีกตามเคย แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ฝืนออกบอลยากๆ เสี่ยงๆ เหมือนเดิมอีกแล้ว หลังจากนี้ต้องมาลุ้นกันว่า อลิสซอน เบ็คเกอร์ จะหายเจ็บกลับมาเป็นตัวจริงในเกมนัดต่อไปที่จะเปิดบ้านพบกับ นิวคาสเซิล ได้หรือเปล่า?
นอกเหนือจากบอลยาวของ เบิร์นลี่ย์ จะใช้เป็นทีเด็ดในเกมนี้ไม่ได้แล้ว บอลจังหวะสองก็เป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ชิงกลับมาเล่นได้เกือบหมด รูปเกมที่ออกมาจึงเป็นอย่างที่เห็น โดยพวกเขาเป็นฝ่ายครองบอลในเกมนี้ได้ถึง 63%
แม้ในช่วงแรกๆ เกมของ ลิเวอร์พูล อาจจะดูอึดอัดอยู่บ้าง แต่หลังจากที่ได้ประตูขึ้นนำแบบมีโชคเล็กน้อย ทำให้ เบิร์นลี่ย์ ต้องยอมที่จะเล่นเสี่ยงมากขึ้นเพราะต้องการทวงประตูคืน ซึ่งนั่นทำให้เกมเข้าทาง ลิเวอร์พูล ทันที
และแค่อีก 4 นาทีถัดมา เบิร์นลี่ย์ ก็มาพลาดกันเองจากจังหวะที่แผงหลังกำลังเซ็ตเกม แต่ดันไปเสียบอลตรงกลางสนามให้ ฟีร์มิโน่ ตะลุยเดี่ยวขึ้นไปถึงกรอบเขตโทษแล้วส่งต่อให้ มาเน่ จบสกอร์คมๆ เข้าประตูไปนำห่างเป็น 2-0
ลูกที่สามที่เกิดขึ้นในครึ่งหลังก็เช่นกัน เป็นเพราะทาง เบิร์นลี่ย์ ที่ดันขึ้นสูงหวังทำประตูตีไข่แตกให้ได้ แต่เสียบอลให้ ลิเวอร์พูล ได้เล่นจังหวะโต้กลับ และสุดท้ายก็เป็น ฟิร์มิโน่ ที่วิ่งเข้ามาซัดลูกที่ ซาล่าห์ แตะบอลลั่นเข้าประตูไปอย่างงดงาม
อย่างไรก็ตาม แม้ ลิเวอร์พูล จะโชว์ฟอร์มเอาชนะ เบิร์นลี่ย์ ไปอย่างง่ายดาย และขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูง ด้วยการเก็บ 12 คะแนนเต็มจากการชนะรวด 4 นัด แถมได้คลีทชีทเป็นนัดแรกของฤดูกาลอีกต่างหาก แต่ก็ไม่วายแอบมีดราม่าเกิดขึ้นในจังหวะที่ มาเน่ โมโหตอนที่ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม
สำหรับแฟนๆ ที่เป็นห่วงเรื่องนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วครับว่า ทุกอย่างจบแล้ว เคลียร์กันเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว
เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งมโนกันไปเองเลยคครับว่า เป็นเพราะนักเตะคนนี้ไม่ชอบขี้หน้านักเตะคนนั้น เป็นเพราะว่านักเตะคนนั้นอิจฉานักเตะคนนี้
ใครที่กำลังคิดแบบนั้นอยู่ ลืมไปแล้วหรือเปล่าว่า นี่ฟุตบอลนะครับ ไม่ใช่ละครหลังข่าว ที่ต้องมีพระเอก นางเอก ตัวร้าย หรือตัวอิจฉา มาโชว์ซีนดราม่ากัน
หรือถ้าเกิดว่า มาเน่ มีเรื่องอะไรที่ติดอยู่ในใจจริงๆ เชื่อซิครับว่า กุนซือระดับ เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดการได้อยู่แล้ว แฟนบอลอย่างเราๆ ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปห่วงอะไรตรงนั้นหรอกครับ มันเป็นเรื่องที่ไกลตัวเราเกินไป
เลิกมโน เลิกดราม่า แล้วมาดื่มด่ำกับตำแหน่งจ่าฝูงกันดีกว่าครับ…
เครดิตภาพ : Evening Standard
ABOUT THE AUTHOR
Sweeper Keeper
แม้ก่อนหน้านี้จะเคยผ่านงานเขียนบทความเกี่ยวกับ หนัง และ เพลง มาพอสมควร แต่ด้วยความที่ชอบดูฟุตบอลลีกอังกฤษ และมี ลิเวอร์พูล เป็นทีมโปรดในดวงใจ เขาจึงขอโอกาสมาแบ่งปันมุมมองด้านลูกหนังให้ได้อ่านกันบ้าง