- Lifestyle
5 เหตุผล ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ซื้อนักเตะใหม่
By Sweeper Keeper • on Aug 03, 2019 • 1,271 Views
เหลืออีกแค่ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลใหม่ก็จะกลับมาเปิดฉากฟาดแข้งกันอีกครั้ง…
เมื่อพรีเมียร์ ลีกเปิดฉากขึ้น นั่นก็เท่ากับว่า ตลาดซื้อขายนักเตะในอังกฤษช่วงซัมเมอร์นี้ก็จะสิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ อาร์เซน่อล เพิ่งได้ตัว นิโคลัส เปเป้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็กำลังจะได้กองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกอย่าง แฮร์รี่ แม็คไกวร์
แต่สำหรับตลาดซื้อขายนักเตะในรอบนี้ ถือเป็นตลาดซื้อขายนักเตะที่เงียบเหงาเหลือเกินสำหรับแฟนๆ หงส์แดง
เพราะนอกเหนือจากการคว้านักเตะดาวรุ่งอย่าง เซ็ปป์ ฟาน เดน เบิร์ก กับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ซึ่งน่าจะซื้อมาเป็นอนาคตของทีมมากกว่า ดูเหมือนว่า ถ้าไม่มีนักเตะชุดใหญ่คนไหนย้ายออก ลิเวอร์พูล คงจะไม่คว้าใครมาเสริมทีมอีกแล้วในตลาดรอบนี้
เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น นี่คือ 5 เหตุผล ที่เราสรุปมาให้ได้อ่านกัน..
1. พอใจกับขุมกำลังที่มีอยู่แล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาล 08/09 หลังจาก ลิเวอร์พูล จบในตำแหน่งรองแชมป์ ราฟา เบนิเตซ ตัดสินใจขาย ชาบี อลอนโซ่ ออกจากทีมไป ฤดูกาลถัดมา หงส์แดง ทำผลงานตกลงอย่างน่าใจหายด้วยการได้แค่ที่ 7
ฤดูกาล 13/14 เบรนดอน ร็อดเจอร์ส พาทีมจบอันดับสองเช่นกัน หลังจากนั้นทีมจำใจต้องขาย หลุยส์ ซัวเรส ออกไป และในฤดูกาลต่อมา ลิเวอร์พูล ก็ร่วงลงไปอยู่ในอันดับ 6
ฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล จบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ (โดยมีคะแนนน้อยกว่า แมนฯ ซิตี้ แค่แต้มเดียว) แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากสองฤดูกาลที่ยกตัวอย่างเอาไว้ข้างต้นก็คือ พวกเขากำลังจะลงสู้ศึกในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึงโดยไม่เสียนักเตะคนสำคัญออกจากทีมไปเลยแม้เเต่คนเดียว
เพราะฉะนั้น ด้วยขุมกำลังคุณภาพที่อัดแน่นอยู่ในทีม ณ ตอนนี้ ซึ่งการันตีด้วยดีกรีแชมป์ยุโรป ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการไล่ล่าความสำเร็จในฤดูกาลใหม่นี้อีกครั้ง
2. นักเตะที่หายเจ็บกลับมา เท่ากับ การเซ็นสัญญานักเตะใหม่
อย่างที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยออกมาบอกว่า การได้นักเตะที่บาดเจ็บกลับคืนสู่ทีมอีกครั้ง ถือเป็นการได้นักเตะใหม่สำหรับเขาในซีซั่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเตะอย่าง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่หายเจ็บกลับมาลงสนามได้แล้วหลังจากต้องพักแข้งไปตลอดทั้งฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งถ้าหากเขาสามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ล่ะก็ จะทำให้มิติในเกมรุกของ ลิเวอร์พูล มีความหลากหลายขึ้นอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ทีมยังได้นักเตะที่ฤดูกาลก่อนประสบปัญหาเจ็บออดๆ แอดๆ อย่าง อดัม ลัลลาน่า ที่สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในแดนกลางกลับมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก โดยล่าสุด คล็อปป์ ทดลองจับ ลัลลาน่า มาเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์เบอร์ 6 ในเกมปรีซีซั่น ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้ไม่เลวเลยทีเดียว
รวมไปถึงยังมี โจ โกเมซ ที่กลับมาเป็นตัวเลือกในแดนหลัง โดยนอกจากตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คแล้ว ในบางโอกาสเราคงจะได้เห็น โกเมซ ถูกโยกไปเล่นแบ็คขวาเผื่อแบ่งเบาภาระของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ด้วย
นาบี้ เกอิต้า เป็นอีกคนที่ฟิตกลับมาเบียดตำแหน่งตัวจริงในแดนกลาง โดยฤดูกาลนี้น่าจะเป็นฤดูกาลที่ เกอิต้า ได้โชว์ศักยภาพที่แท้จริงของเขาออกมาให้เห็นเสียที หลังจากที่ฤดูกาลก่อนต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่พักใหญ่ๆ แต่พอเริ่มเล่นดี ก็โชคร้ายมีอันต้องเจ็บไปซะก่อน
3. เตรียมปั้นดาวรุ่ง
ช่วงปรีซีซั่นมีนักเตะดาวรุ่งหลายๆ คนโชว์ฟอร์มได้เข้าตาและคาดว่าน่าจะถูกดันขึ้นมาเป็นกำลังเสริมให้กับทีมอย่างแน่นอน
โดยนักเตะดาวรุ่งที่เราน่าจะได้เห็นพวกเขามีส่วนร่วมกับทีมชุดใหญ่ในฤดูกาลใหม่หลักๆ แล้วน่าจะมี ริอาน บริวสเตอร์ และ แฮร์รี่ วิลสัน ที่ยิงประตูสวยๆ ให้แฟนๆ ได้เห็นมาแล้วในเกมอุ่นเครื่องหลายๆ นัด
นอกจากนี้ ยังมีดาวรุ่งอีกคนที่ได้รับการจับตามองเป็นอย่างมากนั่นคือ ฮาร์วีย์ เอลเลียต เจ้าหนูวัย 16 ปี ที่เล่นได้ทั้งตำแหน่งปีก และมิดฟิลด์ตัวรุก
โดยหลังจากสโมสรประกาศเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ เอลเลียต ก็ถูกส่งลงสนามทันทีในเกมอุ่นเครื่องกับ นาโปลี และ ลียง ซึ่งเขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจทั้งสองนัด จนทำให้เหล่าสาวกหงส์แดงทั้งหลายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เด็กคนนี้ ‘มีของ!’
4. สร้าง ก่อนแล้วค่อย ซื้อ
สำหรับข้อนี้ เป็นเรื่องที่มีความเชื่อมโยงกับข้อ 2-3 อธิบายให้ชัดๆ ก็คือ ในเมื่อมีนักเตะที่มีศักยภาพหายบาดเจ็บกลับมา (ข้อ 2) รวมถึงมีนักเตะดาวรุ่งที่ฝีเท้าดีพอที่จะถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ (ข้อ 3) เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือผู้นิยมที่จะ ‘สร้าง’ มากกว่า ‘ซื้อ’ จึงเลือกที่จะให้โอกาสกับนักเตะที่มีอยู่มือได้พิสูจน์ตัวเองก่อน ถ้านักเตะเหล่านั้นดีพอ ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อนักเตะใหม่มาเสริมทีมก็ได้ แต่ถ้าเกิดให้โอกาสแล้ว ยังไม่ดี ยังไม่เวิร์ค ถึงค่อยคิดที่จะซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทีม
5. พร้อม เปย์ สำหรับคนที่ ใช่ เท่านั้น
ลิเวอร์พูล พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเป็นทีมที่มี ‘ทุนหนา’ พอที่จะทุ่มซื้อนักเตะค่าตัวมหาศาล เพียงแต่ว่า นักเตะที่ทีมจะทุ่มซื้อด้วยค่าตัวระดับนั้นจะต้องเป็นคนที่ ‘ใช่’ จริงๆ
เหมือนกับที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยบอกว่า เขาจะไม่สุ่มสี่สุ่มห้าทุ่มซื้อนักเตะแพงๆ เด็ดขาด ถ้านักเตะคนนั้นไม่สามารถเข้ามายกระดับทีมให้ดีขึ้น
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม คล็อปป์ จึงอดทนรอถึงปีกว่าๆ เพื่อคว้าตัว เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (ค่าตัว 75 ล้านปอนด์) ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวที่เขาต้องการให้มายืนคุมแผงหลังให้กับทีม
อีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือ การเซ็นสัญญา อลิสซอน เบ็คเกอร์ (ค่าตัว 66 ล้านปอนด์) มาเพื่อแก้ปัญหาในตำแหน่งผู้รักษาประตู
ซึ่งทั้ง ฟาน ไดจ์ค และ อลิสซอน ก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาแล้วว่า พวกเขาคือสองผู้เล่นคนสำคัญที่ทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่มีเกมรับดีที่สุดในพรีเมียร์ ลีกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
เครดิตภาพ : Evening Standard, Telegraph
ABOUT THE AUTHOR
Sweeper Keeper
แม้ก่อนหน้านี้จะเคยผ่านงานเขียนบทความเกี่ยวกับ หนัง และ เพลง มาพอสมควร แต่ด้วยความที่ชอบดูฟุตบอลลีกอังกฤษ และมี ลิเวอร์พูล เป็นทีมโปรดในดวงใจ เขาจึงขอโอกาสมาแบ่งปันมุมมองด้านลูกหนังให้ได้อ่านกันบ้าง