เป็นเวลากว่า 2 ปี แล้วที่คนไทยได้รู้จัก “PM 2.5” และรอบนี้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 กลับมาอีกครั้งตั้งแต่ต้นปีแต่ดูท่าว่าจะหนาแน่นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ปัญหาที่เรื้อรังมายาวนานนี้ทางภาครัฐก็ได้ออกมาตรการที่ช่วยลดฝุ่นได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไม่ได้มีอะไรที่เป็นรูปธรรมที่จะมีแก้วิกฤตนี้ได้อย่างชัดเจน

วันนี้สภาพอากาศในบางพื้นที่ก็ได้ทุเลาลงแต่ยังไม่นิ่งนอนใจ หากต้องออกจากบ้านหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งก็ควรใส่หน้ากากอนามัยไว้เสมอ และ เฝ้าระวังช่วงเย็นของวันที่ 16 ม.ค.2563 ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 จะเพิ่มขึ้นสูงเนื่องมาจาสภาพอากาศปิด และคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งเดือนหลังของเดือนมกราคมจะเกิดการสะสมตัวของค่าฝุ่นละอองสูงกว่าทุกปี

นายประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ(คพ.) กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่า กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์มวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศอุณหภูมิจะลดลง โดยมั่นใจว่าปีนี้ค่าฝุ่นหลังจากนี้จะไม่พุ่งสูงแตะระดับสีแดง ยกเว้น วันที่16 ม.ค.เนื่องจากการระบายอากาศและความกดอากาศจะกดต่ำมากที่สุดในรอบเดือนนี้โดยเฉพาะช่วงเย็นที่เป็นเวลาการจราจรหนาแน่นจะทำให้เกิดการสะสมตัวของฝุ่นมากขึ้นจึงต้องระวังเป็นพิเศษมากขึ้น

ในเบื้องต้นสิ่งที่ประชาชนอย่างเราที่พอจะทำดีเพื่อปกป้องชีวิตและสุขภาพของตนเองคือการ ติดตั้งแอ็พพลิเคชั่น สวมหน้ากาก ซื้อเครื่องฟอกอากาศ ฉีดน้ำ ก็อาจเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้แล้วก็ได้

Mask อย่างแรกเลยใส่หน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง หรือควรพกติดตัวไว้ตลอดเวลา เพื่อเป็นการป้องกันในเบื้องต้นจากการสูบฝุ่นละอองเข้าสู่ปอดโดยที่ไม่รู้ตัว

งดหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกชนิด สำหรับพนักงานออฟฟิศอย่างเราๆ ก็โชคดีหน่อยที่ไม่ค่อยได้ออกไปเจอฝุ่นละออง แต่ก็มีบ้างในช่วงพักเที่ยงที่ต้องออกไปกินข้าวกลางวัน หากใครที่หลีกเลี่ยงได้โดยไม่ออกนอกตึกก็จะดีมาก หากเลี่ยงไม่ได้ก็ควรพกหน้ากากอนามัยไปด้วยทุกครั้งที่ออกนอกตึก หรือใครที่มีความจำเป็นที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งก็ควรลดช่วงเวลาลงให้อยู่กลางแจ้งน้อยที่สุด

ควรพกยาเตรียมไว้เสมอ สำหรับกลุ่มคนที่แพ้ง่าย เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว แพ้ฝุ่น แพ้อากาศ เพราะอากาศบ้านเรานั้นเปลี่ยนแปลงบ่อย แถมยังมีฝุ่นละอองหนาแน่นขนาดนี้ ควรพกยาไว้หากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้แก้ไขสถานการณ์ได้ทันที

กลุ่มคนที่เสี่ยงก็เลี่ยงที่จะออกนอกบ้าน คนกลุ่มเสี่ยง คือ เด็กเล็กที่ยังไม่มีภูมิต้านทาน ผู้สูงอายุที่มีภูมิต้านทานต่ำ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และกลุ่มบุคคลที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจ โรคเยื้อบุตาอักเสบ โรคผิวหนัง โรคหัวใจและโรคหลอดเลือด หากมีโรคเหล่านี้ก็ควรอยู่แต่ในบ้านเพื่อความปลอดภัย

หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที ถ้ามีอาการผิดปกติเกี่ยวกับทางเดินหายใจควรเข้าพบแพทย์ให้เป็นด่วนที่สุดจะดีกว่า

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.posttoday.com/