เข้าสู่ช่วงเทศกาลฮาโลวีน หรือ เทศกาลปล่อยผี ของฝั่งตะวันตก ที่จะจัดขึ้นในทุกวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี หลายประเทศก็จะมีธรรมเนียมแต่งชุดผีแล้วเดินไปเคาะประตูบ้านพร้อมกับถามว่า trick or treat หลอก หรือ เลี้ยง เพื่อแลกกับขนมหรือของที่ระลึก
แต่สำหรับประเทศไทย ฮาโลวีนเป็นแค่งานธีมสยองขวัญที่ถูกจัดขึ้นตามร้านอาหารและสถานบันเทิงเท่านั้น วันนี้เพื่อเป็นการปรับโหมดบรรยากาศให้เข้าสู่ความสยองขวัญตามธีมฮาโลวีน เราขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับผีไทยที่ไม่โด่งดัง หรือ เคยโด่งดังในอดีตแต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้คนไทยยุคใหม่แทบจะไม่รู้จักผีเหล่านี้เลย
1.ผีกองกอย หรือผีโป่งค่าง
เป็นผีที่อาศัยอยู่ในป่า ลักษณะคือมีขาข้างเดียวและเคลื่อนที่ด้วยการกระโดดมีปากจู๋เหมือนท่อ ตาโตเหมือนค่าง ตามตำนานความน่ากลัวของมันคือ เมื่อชาวบ้านเข้าไปหาของในป่าแล้วพักค้างแรมโดยไม่ระวังกลางคืนผีกองกอยจะมาดูดเลือดจากหัวแม่เท้าจนหมดตัว ซึ่งลักษณะของผีป่าขาเดียวนี้มีเรื่องเล่าอยู่ทั่วโลก ทั้งจีน มาเลเซีย ร่ำลือกันว่ามันชอบมาดูดเลือดและลักขโมยสิ่งของและอาหารของคนที่มาเดินป่า
[wonderplugin_video iframe=”https://www.youtube.com/watch?v=y_Hi9cwYdJA” videowidth=600 videoheight=400 keepaspectratio=1 videocss=”position:relative;display:block;background-color:#000;overflow:hidden;max-width:100%;margin:0 auto;” playbutton=”https://bsite.in/wp-content/plugins/wonderplugin-video-embed/engine/playvideo-64-64-0.png”]
2.ผีโขมด หรือ แสงไฟปริศนา
ตามตำนานเล่าว่าจะพบตามหนองน้ำหรือในป่า ลักษณะจะเป็นแสงไฟลอยอยู่ไกลๆ ทำให้คนที่เดินป่ากลางคืน หรือผู้ที่พบเห็นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแสงไฟจากบ้านเรือนคน เมื่อเข้าไปส่องใกล้ๆแสงไฟก็หายไป เป็นการหลอกล่อให้คนเดินทางตอนกลางคืนหลงทาง ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายว่า ผีโขมดที่ร่ำลือกันนี้แท้จริงหรือแก๊สมีเทนที่เกิดจากการหมักหมมของซากพืชซากสัตว์เกิดเป็นแก๊สแล้วสันดาปกับอากาศเกิดติดเป็นดวงไฟ
3.เปรตวัดสุทัศน์
มีที่มาจากภาพวาดในพระอุโบสถของวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นภาพพระสงฆ์ยืนพิจารณาผีเปรต ที่นอนพาดกายอยู่ โดยลักษณะของผีเปรตตามความเชื่อคือตัวผอมสูงเท่าต้นตาล มือเท่าใบตาล ปากเท่ารูเข็ม มันจะกินเสมหะคนเป็นอาหาร ซึ่งเมื่อพูดถึงเปรตก็จะมีการพูดถึงแร้งวัดสระเกศ ที่เป็นคำคล้องจองกันด้วย “แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์” โดยตำนานของแร้งมีที่มาว่าสมัยในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์เกิดโรคห่าระบาดจนมีการเอาศพมาทิ้งไว้แถววัดสุทัศน์ เป็นจำนวนมากจนเผาไม่ทัน แร้งต้องบินมารุมทึ้งกินซากศพเป็นภาพที่สยดสยอง
4.ผีกะ
เป็นผีทางภาคเหนือ เป็นผีที่ผู้มีไสยเวทย์มักเลี้ยงไว้ทำคุณเล่นของได้ โดยจะเก็บไว้ในหม้อดินเผาปิดปากหม้อด้วยผ้ายันต์ บูชาเซ่นไหว้ด้วยไข่ดิบวันละฟอง ถ้าปล่อยออกไปหรือทำอะไรที่ผิดผี ผีกะก็จะไปสิงสู่ในร่างคนทำให้คนนั้นชอบกินของสดของคาว กินตับไตไส้พุงร่างนั้นจะสิ้น แต่ถ้าหากเลี้ยงไว้อย่างดีจะให้คุณให้โชคลาภ ผีกะยังมีอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า ผีกะดง เป็นผีร้ายที่วิ่งไวมาก หากินเป็นฝูงในเวลากลางคืน น้ำลายของผีกะดงสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ทุกชนิด เป็นความชื่อของชาวบ้านในจังหวัดเชียงใหม่
[wonderplugin_video iframe=”https://www.youtube.com/watch?v=XDiJapHHrzI” videowidth=600 videoheight=400 keepaspectratio=1 videocss=”position:relative;display:block;background-color:#000;overflow:hidden;max-width:100%;margin:0 auto;” playbutton=”https://bsite.in/wp-content/plugins/wonderplugin-video-embed/engine/playvideo-64-64-0.png”]
5.แถน หรือ ผีฟ้า
เป็นผีตามความเชื่อของชาวอีสานที่เชื่อว่าเป็นเทวดา หรือผู้ที่อยู่บนฟ้าลงมาดับทุกข์เข็ญและโรคร้าย โดยจะมีการอัญเชิญวิญญาณลงมาประทับที่ร่างทรงเรียกว่า ผีฟ้านางเทียน จากนั้นจะมีการทำพิธีรำผีฟ้าเพื่อเริ่มการสะเดาะเคราะห์รักษาโรค โดยเชื่อว่าพิธีดังกล่าวจะเป็นการขอขมาต่อผี ต่อบรรพบุรุษที่ป่วยเคยล่วงละเมิดไว้ ซึ่งในแต่ละพื้นที่ก็จะมีพิธีที่แตกต่างกัน เคยปรากฎในละครปอบผีฟ้าและมีเพลงที่แต่งขึ้นมา ร้องว่า “ผีฟ้าเอย….. หมู่เฮาเต้นรำ หมู่เฮาตำข้าว ดอกไม้ธูปเทียน ปักไว้หัวเสา ขอเชิญพวกเจ้า ม่วนหมู่เฮาเอย” ซึ่งทำให้อนุมานได้ว่า แถน หรือ ผีฟ้า ไม่ใช่ผีที่ดุร้ายแต่เป็นผีหรือเทวดาที่คอยคุ้มครองรักษา
6.ผีด้ำ
หรืออีกชื่อที่คนไทยรู้จักกันดีคือ ผีบ้านผีเรือน เชื่อว่าเป็นดวงวิญญาณที่เป็นเจ้าของที่ บรรพบุรุษที่ล่วงลับ หรือผู้ที่อยู่อาศัยมาก่อนสิงสู่อยู่ในบ้าน คนไทยในอดีตเชื่อว่าหากจะย้ายเข้าไปในบ้านหรือสถานที่ใดควรจะเซ่นไหว้ผีด้ำเสียก่อนมิเช่นั้นอาจจะไม่อยู่เย็นเป็นสุขทำอะไรก็จะติดขัด บางรายถึงอาจจะอยู่บ้านนั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีการตั้งศาลเจ้าที่ในบ้านเพื่อเป็นการสร้างที่อยู่และที่บูชาให้กับผีบ้านผีเรือนด้วย
7.ผีโพง
เป็นผีตามความเชื่อของภาคเหนือ ลักษณะในตอนกลางวันจะมีร่างเหมือนคนธรรมดา แต่ตกกลางคืนร่างนั้นจะกลายเป็นร่างมีดวงไฟที่จมูก ออกหากินเขียด กบ หนู ตามท้องไร่ท้องนา แต่ที่ชอบมากๆคือของสกปรกของคาวเช่นศพ หรือ รกเด็ก ผีประเภทนี้จะไม่ทำร้ายคน ซึ่งการจะกำจัดผีโพงได้ คนจะต้องหาให้เจอว่าตอนกลางวันมันเป็นใครแล้วเข้าไปทักว่าเป็นผีโพง ร่างนั้นก็จะตายไปในที่สุด ผีโพงมีความคล้ายคลึงกับตำนานผีกระสือและผีกระหังว่ามันสามารถถ่ายทอดความเป็นผีผ่านทางน้ำลาย ใครไปกินน้ำที่ผีโพงถ่มน้ำลายไว้ก็จะกลายเป็นผีสืบต่อไป
8.แม่ซื้อ
เป็นผีหรือเทวดาที่คอยคุ้มครองเด็กแรกเกิด คนที่เกิดมาแต่ละคนจะมีแม่ซื้อประจำวันเกิดมาคอยดูแล แต่ละตัวจะมีชื่อและร่างต่างกันไป โดยส่วนมากจะมีหัวเป็นสัตว์เช่น สิงห์ ม้า ควาย กวาง โค เสือ เป็นต้น ในตอนแรกเกิดนั้นชาวบ้านในสมัยก่อนจะมีการทำพิธีบอกกล่าวแม่ซื้อเพื่อไม่ให้ผีมาขโมยตัวเด็กไป โดยจะเอาเด็กใส่กระด้งแล้วทำมือวนพร้อมกับร้องว่า “สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใคร ใครเอาไปเน้อ” ส่วนเวลาที่เด็กเล่นหรือหัวเราะยิ้มเอง ชาวบ้านก็เชื่อว่าแม่ซื้อมาเล่นกับเด็กนั่นเอง
9.ผีแมว หรือ ผีจะกละ
ภาคใต้จะเรียกมันว่า ผีล้วง ลักษณะจะคล้ายกับแมวป่า มีขนสีดำสนิทไม่กระด้างขึ้นเงา ดวงตาเป็นสีแดงเลือด เป็นสัตว์เลี้ยงของหมอผีที่จะเสกอาคมเอาไว้เพื่อปราบศัตรู การเกิดขึ้นของผีแมว เกิดจากผู้เล่นไสยเวทย์เสกขึ้น บ้างก็ว่าเป็นแมวที่เกิดจากการถูกผีพราย วิญญาณต่างๆ เข้าสิง นิสัยของมันชอบกินเลือดและของคาวสดๆ เรื่องของผีแมวคล้ายกับเรื่องของ เนะโกะมะตะ ของประเทศญี่ปุ่น ลักษระเป็นแมวสองหางที่ขยายร่างได้ มีความสามาถปลุกศพให้คืนชีพ ควบคุมคนตายได้
10.นางตานี
เป็นผีที่สิงอยู่ในต้นกล้วยตานี ลักษณะเป็นหญิงใส่ชุดไทยสีเขียวอ่อน นุ่งโจงกระเบนสีเขียวแก่ มีกลิ่นกายหอมคล้ายดอกกล้วย ในสมัยก่อนเชื่อว่ากล้วยตานี เป็นสิ่งไม่ดี ไม่ควรปลูกไว้ใกล้เรือน แต่หากบูชาดีๆ ก็จะมีคุณ หากใครไปทำอะไรไม่ดีกับต้นกล้วยตกกลางคืนก็จะเจอผีตานีออกมาเอาชีวิต บางตำนานเล่าว่านางตานีมักจะมาจับผู้ชายในตอนกลางคืนเอาไปเป็นสามี โดยทำการหว่านเสน่ห์ต่างๆ ใส่ให้ชายคนนั้นหลงรัก เหตุนี้ทำให้สมัยก่อนผู้ที่มีวิชาอาคมจะนำต้นกล้วยที่มีนางตานีสิงอยู่เอาไปทำสีผึ้งสำหรับทำเสน่ห์
เรียกได้ว่าทั้งหมดนี้คือตำนาน 10 ผีไทย ที่เป็นเรื่องเล่าขานในแต่ละภาค ซึ่งมีเรื่องราวเล่าสู่กันฟังตกทอดกันมา และหลายครั้งก็ถูกหยิบนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่อาจจะไม่ได้โด่งดังเท่ากับเรื่องราวอื่นๆ แต่ก็ถือว่าเป็นตำนานที่สนุกน่าฟังไม่ใช่น้อย
Copyright© Bsite.In