นาทีนี้ถ้าจะเรียก ลิเวอร์พูล ว่าเป็น ‘เจ้าพ่อคัมแบ็ค’ ก็คงไม่ผิดนัก เมื่อล่าสุดพวกเขายิงสองประตู ‘พลิกนรก’ กลับมาชนะ แอสตัน วิลล่า ในช่วงท้ายเกมได้อีกแล้ว

กลายเป็นทีมที่ ‘โกงความตาย’ กันเป็นนิสัยไปแล้วก็ว่าได้สำหรับ หงส์แดง ลิเวอร์พูล โดยในเกมล่าสุด เป็นอีกครั้งที่พวกเขาโดนยิงนำไปก่อน แล้วสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้ด้วยประตูท้ายเกม

โดยเฉพาะประตูชัยของ ซาดิโอ มาเน่ ที่ทำให้แฟนๆ ทั้งหลายต้องลุ้นกันจนถึงนาทีที่ 94 กันเลยทีเดียว

และต่อไปนี้คือ 10 ประเด็นเก็บตก หลังเกมที่ ลิเวอร์พูล พลิกกลับคว้าสามแต้มจากเกมนี้ได้แบบหวุดหวิด…

1. ลิเวอร์พูล ชนะรวด 14 นัดติดต่อกันในการเจอกับทีมน้องใหม่ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ ลีก

2. 49 เกมล่าสุดในพรีเมียร์ ลิเวอร์พูล ทำสถิติชนะ 40 เสมอ 8 แพ้ 1

3. ชัยชนะเหนือวิลล่าในเกมนี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในยามที่ถูกยิงนำไปก่อนเป็นเกมที่ 7 ติดต่อกันในพรีเมียร์ ลีก (ชนะ 6 เสมอ 1)

4. ประตูตีเสมอของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เป็นประตูที่สองที่เขาทำได้ในการลงสนาม 6 เกมล่าสุดในทุกรายการให้กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นการทำประตูได้มากกว่า 88 เกมก่อนหน้านี้ที่ลงเล่น

5. สองประตูที่ยิงแซงเอาชนะ แอสตัน วิลล่า ไปได้จาก โรเบิร์ตสัน (1-1 นาที 87) และ มาเน่ (2-1 นาที 93) ทำให้ ลิเวอร์พูล ยิงประตูในช่วง 15 นาทีสุดท้ายได้รวมเป็น 31 ลูกในพรีเมียร์ ลีกนับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา

6. โดย 6 เกมล่าสุดในทุกถ้วย ลิเวอร์พูล ทำประตูได้ในช่วง 15 ทุกนัด ไล่ไปตั้งแต่…
– กลับมาชนะ เลสเตอร์ 2-1 (ได้ประตูนาที 95)
– เสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 (ได้ประตูนาที 85)
– ชนะ เกงค์ 4-1 (ได้ประตูนาที 87)
– ชนะ สเปอร์ส 2-1 (ได้ประตูนาที 75)
– เสมอ อาร์เซน่อล 5-5 (ได้ประตูนาที 94)
– และล่าสุด 2-1 (ได้ประตูนาที 94)

7. นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังเป็นทีมที่ยิงประตูได้ในช่วงนาที 90+ มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีก โดยทำไปแล้วถึง 35 ประตู

8. เกมพลิกนรกกลับมาชนะวิลล่า เป็นการลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 100 ของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ซึ่งเขาเป็นคนทำแอสซิสต์ให้ มาเน่ โหม่งประตูชัยในเกมนี้ โดยนับตั้งแต่ที่ลงสนามนัดแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในเดือนตุลาคม ปี 2016 เทรนท์ ทำไป 5 ประตู กับอีก 24 แอสซิสต์ มีเพียง ฟีร์มิโน่ กับ ซาล่าห์ เท่านั้นที่ทำแอสซิสต์ได้มากกว่าเขา

9. สำหรับผลงาน 100 เกมที่ เทรนท์ ลงสนาม ลิเวอร์พูล แพ้ไปเพียง 11 นัด โดยใน 55 เกมล่าสุด แพ้ไปแค่ 3 นัดเท่านั้น!

10. สามแต้มสำคัญที่ได้จากเกมชนะวิลล่า ทำให้ ลิเวอร์พูล เก็บไปแล้ว 31 แต้ม กลายเป็นทีมที่ทำคะแนนได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีกหลังจากลงเตะไป 11 เกมร่วมกับ
– เชลซี (2005-06)
– แมนฯ ซิตี้ (2011-12)
– แมนฯ ซิตี้ (2017-18)

10+1 แถมให้อีกข้อ หลังจากลูกยิงของ ฟีร์มิโน่ ถูกปฎิเสธจาก VAR (โดย มาร์ติน แอตกินสัน เจ้าเก่า) ด้วยการตัดสินให้เป็นลูกล้ำหน้า ไม่เพียงแต่เหล่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล เท่านั้นที่ออกมาแสดงความไม่พอใจในเรื่องนี้ แต่ทั้ง แกรี่ ลินิเกอร์, แอนดี้ เกรย์ สองกูรูช่องดังของอังกฤษ รวมไปถึง ปีเตอร์ เคราช์ และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ต่างค้านหัวชนฝาว่าลูกนี้ดูยังไงก็ไม่มีทางล้ำ

กลายเป็นเกมที่กว่าจะคว้าชัยชนะกลับออกมาได้ ทำเอาแฟนๆ ต้องลุ้นกันจนเหนื่อย…

แต่ในท้ายที่สุดก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่ ลิเวอร์พูล สามารถหาหนทางในการเอาชนะคู่ต่อสู้ในเกมที่ตัวเองโชว์ฟอร์มกันไม่ดีเท่าไหร่ได้สำเร็จ แถมประตูใช้ที่ได้มาก็เกิดจากความผิดพลาดของนายทวารเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ด้วยอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ทีมลุ้นแชมป์จะต้องมีก็คือ แม้ว่าทีมจะเล่นได้ไม่ดี แต่จบเกมลงเอยด้วยชัยชนะ ซึ่งเอาจริงๆ คุณสมบัตินี้ของ ลิเวอร์พูล ชักจะมีให้เห็นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ในพักหลังๆ

ทั้งหลายทั้งปวง ลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ เก็บสามแต้มสำคัญออกมาจากสนาม บรามอลล์ เลน ได้สำเร็จ ทำให้พวกเขามีแต้มนำหน้า แชมป์เก่า แมนฯ ซิตี้ อยู่ 5 คะแนนต่อไป

และต่อไปนี้คือ 10 ประเด็นเก็บตก หลังเกมชนะแบบหืดจับ! ที่เรารวบรวมมาฝากกัน…

1. ลิเวอร์พูล ทำสถิติชนะ 7 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ ลีกได้เป็นครั้งแรก โดยก่อนหน้านี้เคยทำได้สมัยที่ยังเป็นดิวิชั่น 1 ในฤดูกาล 1990/91 ยุคที่ เคนนี่ เดลกลิช เป็นผู้จัดการทีม

2. ชัยชนะที่มีต่อ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทำให้ ลิเวอร์พูล ยังคงเดินหน้าทำสถิติชนะรวดเป็นนัดที่ 16 นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2019 เป็นต้นมา โดยทีมที่ทำสถิติชนะรวดมากที่สุดตอนนี้คือ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งทำเอาไว้ 18 นัด ช่วงเดือนสิงหาคม – ธันวาคม 2017

3. ทั้ง 16 นัดที่ ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะมาเรียบวุธไล่เรียงไปตั้งแต่ เบิร์นลี่ย์ 4-2, ฟูแล่ม 2-1, สเปอร์ส 2-1, เซาธ์แฮมตัน 3-1, เชลซี 2-0, คาร์ดิฟฟ์ 2-0, ฮัดเดอร์ฟิลด์ 5-0, นิวคาสเซิล 3-2, วูล์ฟส์ 2-0, นอริช 4-1, เซาธ์แฮมตัน 2-1, อาร์เซน่อล 3-1, เบิร์นลี่ย์ 3-0, นิวคาสเซิล 3-1, เชลซี 2-1 และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 1-0

4. นอกจากนั้น ลิเวอร์พูล ยังไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ ลีกมาเป็นเกมที่ 24 ติดต่อกันแล้ว โดยก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล เคยทำสถิติไร้พ่ายในลีกเอาไว้สูงสุดที่ 31 นัด ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 1987 – มีนาคม 1988

5. นับตั้งแต่ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาคุมทีม ลิเวอร์พูล เอาชนะทีมน้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา 13 นัดติดต่อกัน โดยยิงประตูได้ทั้งหมด 36 ลูก และเสียไปเพียง 4 ประตู

6. หลังผ่านไป 7 นัด ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ได้ประตูจากนอกกรอบเขตโทษมากที่สุดโดยได้ไปแล้วทั้งหมด 5 ลูก

7. ประตูชัยจากลูกยิงไกลของ จีนี่ ไวจ์นัลดุม ซึ่งเกิดขึ้นในนาทีที่ 70 เป็นการยิงตรงกรอบครั้งแรกของเกมนี้

8. ซึ่งนี่ถือเป็นการใช้เวลาในการหาโอกาสยิงตรงกรอบหนแรกของเกมนานที่สุดรองจากก่อนหน้านี้ที่ ลิเวอร์พูล เคยต้องรอจนถึงนาทีที่ 89 กว่าที่จะได้โอกาสยิงเข้ากรอบครั้งแรกจาก เดยัน ลอฟเรน ในเกมพรีเมียร์ ลีกที่พบกับ นิวคาสเซิล เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2015

9. เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ โจเอล มาติป คือกองหลังที่เอาชนะคู่ต่อสู้ในการดวลลูกกลางอากาศได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก โดยอันดับหนึ่งเป็น ฟาน ไดจ์ค ที่เอาชนะได้ 43 จากทั้งหมด 54 ครั้ง ขณะที่ มาติป เอาชนะได้ 36 จาก 41 ครั้ง รวมแล้วทั้งคู่เอาชนะการดวลลูกกลางอากาศรวมกัน 79 จากทั้งหมด 95 ครั้ง

10. หลังเกม เอียน ไรท์ ผู้สัดทัดกรณีของบีบีซี ออกมาชื่นชม โจเอล มาติป ว่า “ถัดจาก เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ อายเมอริค ลาปอร์ต ไม่มีกองหลังคนไหนในลีกที่ดีกว่าเขาอีกแล้ว”

เครดิตภาพ : Evening Standard

ถือเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่แฟนหงส์แดงทั้งหลายคงชื่นมื่นไปตามๆ กัน…

เพราะไม่เพียงแต่ทีมรักของตัวเองจะโชว์ฟอร์มเอาชนะ นิวคาสเซิล ไปได้อย่างสวยงาม 3-1 คว้าชัยชนะ 5 นัดรวด เก็บ 15 คะแนนเต็ม ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น

แต่ทีมที่เป็นคู่แข่งในการลุ้นแชมป์อย่าง แมนฯ ซิตี้ ก็ดันพลาดท่าบุกไปพ่ายให้กับทีมน้องใหม่อย่าง นอริช แบบพลิกความคาดหมาย 3-2 อีกต่างหาก

และนั่นทำให้หลังผ่านพ้นจากเกมนัดที่ 5 หงส์แดง มีแต้มนำหน้า เรือใบสีฟ้า ห่างออกเป็น 5 แต้มแล้วในตอนนี้

โดยหลังจบเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดแอนฟิลด์พลิกแซงกลับมาเอาชนะ นิวคาสเซิล ไปได้ มีสถิติที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเราได้รวบรวมมาให้ได้อ่านกันตรงนี้แล้ว…

1. ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่สามที่สามารถชนะรวดในเกมลีกได้ 14 นัดติดต่อกัน โดยมีสองทีมที่เคยทำได้ก่อนหน้านี้ได้แก่ อาร์เซน่อล (ปี 2002), แมนฯ ซิตี้ (ปี 2017 และ 2019)

2. อย่างไรก็ตามการชนะรวด 14 นัดของ ลิเวอร์พูล มีความพิเศษกว่าที่ทีมอื่นเคยทำได้ ตรงที่พวกเขากลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของลีกสูงสุดอังกฤษที่ชนะรวด 14 นัด แล้วทำประตูได้มากกว่า 2 ลูกทุกนัด

3. ชนะชัยเหนือ นิวคาสเซิล ทำให้ ลิเวอร์พูล เดินหน้าสร้างสถิติไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ ลีก ที่แอนฟิลด์ต่อไป โดยพวกเขาไม่แพ้ใครในบ้านเป็นนัดที่ 43 ติดต่อกันแล้ว

4. ลิเวอร์พูล เป็นทีมเดียวจากทุกลีกในประเทศอังกฤษที่ชนะรวดในเกม 5 นัดแรกของฤดูกาล โดยพวกเขาชนะ 5 นัดรวดเป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกันแล้ว

5. โดยตอนนี้ หากนับเฉพาะแค่ 5 ลีกใหญ่ของยุโรป มีเพียง ลิเวอร์พูล และ อินเตอร์ มิลาน เท่านั้น ที่ทำสถิติชนะเกมในลีก 100%

6. ในเกมนี้ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ได้สวมบทเป็นกัปตันทีมให้ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 10 และทีมก็สามารถชนะรวดทั้ง 10 นัดที่เขาสวมปลอกแขนกัปตันทีมด้วย

7. นับตั้งแต่ฤดูกาล 2017/18 แอนดี้ โรเบิร์ตสัน คือนักเตะตำแหน่งกองหลังที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุด โดยเขาทำไปแล้ว 17 แอสซิสต์ เฉพาะในเกมพรีเมียร์ ลีก

8. นัดนี้ ซาดิโอ มาเน่ ลงสนามให้ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกที่แอนฟิลด์เป็นนัดที่ 50 โดยไม่แพ้ใครเลยแม้แต่นัดเดียว (ชนะ 41 เสมอ 9)

9. นับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ไม่ใครยิงประตูในพรีเมียร์ ลีกได้มากกว่า มาเน่ โดยเขาทำไปแล้ว 18 ประตู จาก 23 เกม

10. โม ซาล่าห์ มีส่วนร่วมโดยตรงกับการทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 50 ลูก โดยยิงไป 36 ประตู และทำอีก 14 แอสซิสต์

10+1 หลังจากผ่านเกมพรีเมียร์ ลีกไปแล้ว 5 นัด ซาล่าห์ ลงเล่น 439 นาที, ยิง 4 ประตู, แอสซิสต์ 2 ครั้ง / ฟีร์มิโน่ ลงเล่น 400 นาที, ยิง 2 ประตู, แอสซิสต์ 3 ครั้ง / มาเน่ ลงเล่น 358 นาที, ยิง 4 ประตู, แอสซิสต์ 1 ครั้ง

เครดิตภาพ : Evening Standard

เป็นอันว่าก่อนหลีกทางให้กับโปรแกรมทีมชาติ ลิเวอร์พูล ยังคงนำเป็นจ่าฝูงต่อไป หลังจากที่พวกเขาบุกไปเอาชนะ เบิร์นลี่ย์ ได้ 0-3

สามแต้มที่ เทิร์ฟ มัวร์ ส่งให้พวกเขาเก็บ 12 คะแนนเต็มจากการชนะ 4 นัดติดต่อกัน กลายเป็นทีมเดียวในทุกลีกของอังกฤษที่ทำสถิติชนะรวด 100%

จริงๆ แล้ว หากดูชื่อทีมคู่แข่งจาก 4 เกมที่ผ่านมา ส่วนตัวคิดว่า เกมล่าสุดที่บุกไปเยือน เบิร์นลี่ย์ นี่แหละครับที่หินที่สุด

สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า การไปเล่นที่ เทิร์ฟ มัวร์ ถือเป็นหนึ่งในสนามที่สร้างความยากลำบากให้ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา

ย้อนกลับไปปีแรกที่ คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม ปีนั้น ลิเวอร์พูล บุกไปแพ้ 2-0 ทั้งๆ ที่เกมนี้เป็นฝ่ายครองบอลได้ถึง 80%

ครั้งที่สอง แม้จะเป็นฝ่ายได้ประตูนำไปก่อน แต่ก็ถูก เบิร์นลี่ย ตามตีเสมอในช่วงท้ายเกม ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะมาได้ประตูชัยจาก รักนาร์ คลาวาน ในนาทีที่ 90+4

ครั้งที่สามเมื่อปีก่อน ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายโดนยิงนำไปก่อน และแม้จะฮึดกลับมาแซง 1-2 แต่หลังจากนั้นก็โดน เบิร์นลี่ย์ กดดันอย่างหนักจนเกือบโดนตีเสมออยู่หลายต่อหลายครั้ง ยังดีที่ได้ อลิสซอน ช่วยเซฟเอาไว้ จนมาได้ประตูปิดกล่อง 1-3 ช่วงทดเจ็บ (อีกแล้ว) จาก ชาคิรี่

แต่กับเกมล่าสุดที่เพิ่งผ่านพ้นไป แทบจะเป็นหนังคนละม้วนเลยก็ว่าได้ เพราะ ลิเวอร์พูล บุกไปเอาชนะ เบิร์นลี่ย์ ได้แบบสบายๆ

จากที่เมื่อ 2-3 ปีก่อนต้องเล่นอย่างกระเสือกกระสนกว่าจะคว้าชัยชนะกลับออกมาได้ มาในปีนี้พวกเขาสามารถเอาชนะทีมเดียวกันได้แบบไม่ยากเย็นอะไรเลย

สำหรับผมแล้ว นี่เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่บ่งชี้ให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้นแล้วจริงๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของเกมรับ ที่แม้แต่ ฌอน ไดซ์ ยังกล่าวชื่นชมหลังเกมว่า “ตอนนี้พวกเขาเล่นเกมรับได้อย่างแข็งแกร่ง ฟาน ไดจ์ค คือคนที่สร้างความแตกต่างอย่างยิ่งให้กับทีม ไม่ใช่เฉพาะแค่ความสามารถส่วนตัวของเขาเท่านั้น แต่มันยังส่งผลให้กับคนอื่นๆ ในทีมอีกด้วย”

“มันเป็นเรื่องยากมากที่เจาะพวกเขาได้ พวกเขาดันเกมขึ้นสูงมาก ซี่งนี่คือสิ่งสิ่งที่แตกต่างอย่างยิ่งของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ พวกเขาดันเกมรับสูงมากจริงๆ”

สิ่งที่ ฌอน ไดซ์ พูดไว้ข้างต้นคือสิ่งที่อธิบายอย่างชัดเจนแล้วว่า เพราะอะไรวิธีการที่พวกเขาเคยใช้เล่นงาน ลิเวอร์พูล ได้ในฤดูกาลที่ผ่านๆ มา นั่นคือ พอตัดบอลได้ก็ใช้บอลไดเร็กสาดยาวไปให้คู่กองหน้าที่รูปร่างสูงใหญ่ ถึงใช้ไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว

และยิ่งชัดเจนมากขึ้นไปอีก เมื่อมีสถิติที่ระบุว่า เฉพาะแค่ ฟาน ไดจ์ค คนเดียว เขาเอาชนะการดวลลูกกลางอากาศถึง 10 จาก 11 ครั้งในเกมนี้

ในขณะที่คู่กองหน้าของ เบิร์นลี่ย์ อย่าง แอชลี่ย์ บาร์นส์ (ที่ยิงประตูต่อเนื่องมาทุกนัด) และ คริส วู้ด แทบจะไม่ได้กระดิกเลยในเกมนี้ โดยทั้งคู่เอาชนะการดวลลูกกลางอากาศกับนักเตะฝั่งผู้มาเยือนได้แค่ 3 จาก 16 ครั้ง เท่านั้น

ถ้าไม่นับ ฟาน ไดจ์ค ซึ่งเป็นแกนหลักในแนวรับที่เก็บกินลูกกลางอากาศได้เกือบหมด กับ ฟีร์มิโน่ ที่วิ่งพล่านไปทั่วในเกมนี้ แถมยังเป็นคนยิงหนึ่ง จ่ายหนึ่ง และรับตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ของเกมนี้ไป

อีกคนหนึ่งที่เราจะลืมพูดถึงเขาไม่ได้เลยก็คือ ฟาบินโญ่ ซึ่งโดดเด่นมากในเกมนี้ แม้กระทั่ง ฟาน ไดจ์ค เองยังเอ่ยปากชม ฟาบินโญ่ เลยว่าวันนี้เขาเป็นเหมือนกับ ‘inspector gadget’ เพราะไม่ว่านักเตะ เบิร์นลี่ย์ ได้บอลตรงไหนของสนามเขาก็ตามหาจนเจอ แถมยังคอยปัดกวาดอยู่หน้าแผงแบ็คโฟร์จนทำให้เกมรับเล่นกันง่ายขึ้นอีกด้วย

และเมื่อ เบิร์นลี่ย์ ทำเกมบุกเข้ามาไม่ถึงในพื้นที่อันตราย อาเดรียน โกลมือหนึ่งจำเป็นของทีมที่หลายคนบอกว่าเป็นจุดอ่อน ก็เลยแทบจะไม่ได้ถูกกดดันอะไร โดยเกมนี้เขาต้องออกแรงเซฟจะๆ ครึ่งแรกและครึ่งหลังอย่างละครั้งเท่านั้น

ส่วนการออกบอลของ อาเดรียน ถึงจะยังไม่แม่นอีกตามเคย แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ฝืนออกบอลยากๆ เสี่ยงๆ เหมือนเดิมอีกแล้ว หลังจากนี้ต้องมาลุ้นกันว่า อลิสซอน เบ็คเกอร์ จะหายเจ็บกลับมาเป็นตัวจริงในเกมนัดต่อไปที่จะเปิดบ้านพบกับ นิวคาสเซิล ได้หรือเปล่า?

นอกเหนือจากบอลยาวของ เบิร์นลี่ย์ จะใช้เป็นทีเด็ดในเกมนี้ไม่ได้แล้ว บอลจังหวะสองก็เป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ชิงกลับมาเล่นได้เกือบหมด รูปเกมที่ออกมาจึงเป็นอย่างที่เห็น โดยพวกเขาเป็นฝ่ายครองบอลในเกมนี้ได้ถึง 63%

แม้ในช่วงแรกๆ เกมของ ลิเวอร์พูล อาจจะดูอึดอัดอยู่บ้าง แต่หลังจากที่ได้ประตูขึ้นนำแบบมีโชคเล็กน้อย ทำให้ เบิร์นลี่ย์ ต้องยอมที่จะเล่นเสี่ยงมากขึ้นเพราะต้องการทวงประตูคืน ซึ่งนั่นทำให้เกมเข้าทาง ลิเวอร์พูล ทันที

และแค่อีก 4 นาทีถัดมา เบิร์นลี่ย์ ก็มาพลาดกันเองจากจังหวะที่แผงหลังกำลังเซ็ตเกม แต่ดันไปเสียบอลตรงกลางสนามให้ ฟีร์มิโน่ ตะลุยเดี่ยวขึ้นไปถึงกรอบเขตโทษแล้วส่งต่อให้ มาเน่ จบสกอร์คมๆ เข้าประตูไปนำห่างเป็น 2-0

ลูกที่สามที่เกิดขึ้นในครึ่งหลังก็เช่นกัน เป็นเพราะทาง เบิร์นลี่ย์ ที่ดันขึ้นสูงหวังทำประตูตีไข่แตกให้ได้ แต่เสียบอลให้ ลิเวอร์พูล ได้เล่นจังหวะโต้กลับ และสุดท้ายก็เป็น ฟิร์มิโน่ ที่วิ่งเข้ามาซัดลูกที่ ซาล่าห์ แตะบอลลั่นเข้าประตูไปอย่างงดงาม

อย่างไรก็ตาม แม้ ลิเวอร์พูล จะโชว์ฟอร์มเอาชนะ เบิร์นลี่ย์ ไปอย่างง่ายดาย และขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูง ด้วยการเก็บ 12 คะแนนเต็มจากการชนะรวด 4 นัด แถมได้คลีทชีทเป็นนัดแรกของฤดูกาลอีกต่างหาก แต่ก็ไม่วายแอบมีดราม่าเกิดขึ้นในจังหวะที่ มาเน่ โมโหตอนที่ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม

สำหรับแฟนๆ ที่เป็นห่วงเรื่องนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วครับว่า ทุกอย่างจบแล้ว เคลียร์กันเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว

เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งมโนกันไปเองเลยคครับว่า เป็นเพราะนักเตะคนนี้ไม่ชอบขี้หน้านักเตะคนนั้น เป็นเพราะว่านักเตะคนนั้นอิจฉานักเตะคนนี้

ใครที่กำลังคิดแบบนั้นอยู่ ลืมไปแล้วหรือเปล่าว่า นี่ฟุตบอลนะครับ ไม่ใช่ละครหลังข่าว ที่ต้องมีพระเอก นางเอก ตัวร้าย หรือตัวอิจฉา มาโชว์ซีนดราม่ากัน

หรือถ้าเกิดว่า มาเน่ มีเรื่องอะไรที่ติดอยู่ในใจจริงๆ เชื่อซิครับว่า กุนซือระดับ เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดการได้อยู่แล้ว แฟนบอลอย่างเราๆ ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปห่วงอะไรตรงนั้นหรอกครับ มันเป็นเรื่องที่ไกลตัวเราเกินไป

เลิกมโน เลิกดราม่า แล้วมาดื่มด่ำกับตำแหน่งจ่าฝูงกันดีกว่าครับ…

เครดิตภาพ : Evening Standard