กลับมาโชว์ฟอร์มสุดยอดสมกับทีมว่าที่แชมป์อีกครั้งสำหรับ ลิเวอร์พูล ที่เปิดบ้านไล่ถล่ม คริสตัล พาเลซ ผู้มาเยือนไป 4-0

ชัยชนะในเกมนี้ทำให้ทีมหงส์แดงขยับเข้าใกล้ถ้วยพรีเมียร์ ลีกไปอีกขั้น โดยพวกเขาต้องการอีกเพียงแค่ 2 แต้มเท่านั้น จากเกมที่เหลืออยู่ในมืออีก 7 นัด

สำหรับสถานการณ์บนตารางคะแนน ณ ตอนนี้ ลิเวอร์พูล เก็บไปแล้ว 86 แต้มจาก 31 นัด นำหน้าทีมอันดับสองแมนฯ ซิตี้ที่เตะน้อยกว่า 1 นัดอยู่ 23 แต้ม

คำถามก็คือ เมื่อไหร่แต้มถึงจะขาด? และตอนไหนที่ ลิเวอร์พูล จะสิ้นสุดการรอคอยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีมาครองได้เสียที? ไปดูกันเลย…

เงื่อนไขที่ 1

หากแมนฯ ซิตี้ไม่สามารถเก็บสามแต้มหรือแม้กระทั่งทำได้แค่เสมอเก็บหนึ่งแต้มได้ในเกมที่ต้องบุกไปเยือนเชลซีที่ แสตมฟอร์ด บริดจ์ จะส่งให้ ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ทันที

ซึ่งถ้าผลออกมาเป็นแบบนั้น เกมนัดต่อไปที่แมนฯ ซิตี้จะต้อนรับการมาเยือนของลิเวอร์พูล ลูกทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าจะต้องปฎิบัติตามธรรมเนียมด้วยการยืนตั้งแถวปรบมือให้กับ ลิเวอร์พูล ทีมผู้เป็นแชมป์ตอนที่เดินลงสู่สนาม

เงื่อนไขที่ 2

แต่ถ้าเกิดว่าแมนฯ ซิตี้สามารถบุกไปปราบทีมของแฟรงค์ แลมพาร์ดได้สำเร็จ ลิเวอร์พูล ขอเพียงแค่บุกไปเสมอกับแมนฯ ซิตี้ในเกมต่อไปก็จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกทันที

เงื่อนไขที่ 3

และถึงแม้ว่าทีมเรือใบสีฟ้าจะสามารถยื้อเวลาเอาไว้ได้ด้วยการเอาชนะทั้งเชลซีและลิเวอร์พูล แต่ลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ก็จะเถลิงแชมป์ทันทีหากในเกมถัดไปพวกเขาเปิดบ้านเอาชนะแอสตัน วิลล่าได้ที่แอนฟิลด์

ซึ่งเมื่อมองดูจากเงื่อนไขทั้งสามข้อข้างต้นแล้ว หากไม่เกิดเหตุุการณ์ไม่คาดฝันแบบชนิดที่ฟ้าถล่ม ดินทลายแล้วล่ะก็ คงต้องบอกว่าแชมป์นี้เป็นของลิเวอร์พูล แทบจะแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ขึ้นอยู่เพียงว่าจะช้าหรือเร็วแค่ไหนเท่านั้น

ว่าแล้ว…ขอแสดงความยินดีกับสาวกเดอะ ค็อปทั่วโลกล่วงหน้าด้วยครับ

ชัยชนะที่มีต่อ เซาธ์แฮมป์ตัน ในเกมเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้ ลิเวอร์พูล แซง แมนฯ ซิตี้ กลับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงชั่วคราวได้สำเร็จ

สำหรับเกมนี้ เราคงได้เห็นกันไปแล้วว่า เป็นอีกครั้งที่กว่า ลิเวอร์พูล จะเอาชนะคู่แข่งได้นั้น แฟนๆ ต้องลุ้นกันอย่างหนักจนถึงช่วงท้ายเกม

โดยการบดเอาชนะ ทีมนักบุญ ไปได้ในเกมนี้ ถือเป็นเกมที่สามติดต่อกันแล้วที่ หงส์แดง คว้าสามแต้มมาได้แบบ หืดจับ!

แง่หนึ่ง มันอาจเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า นักเตะ ลิเวอร์พูล สามารถก้าวผ่านความกดดันไปได้ ยามที่ต้องลงสนามเพื่อสามแต้มเท่านั้น ในช่วงโค้งสุดท้ายของการลุ้นแชมป์แบบนี้

อีกแง่หนึ่ง นี่จะเป็นบททดสอบ หัวจิตหัวใจ ของสาวก ลิเวอร์พูล ทุกคนด้วยเช่นกันว่า แข็งแกร่ง ขนาดไหน?

เพราะอย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ในสามนัดล่าสุดกว่าที่ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้นั้น ทำเอาแฟนบอลต้องลุ้นกันชนิดหัวใจแทบวายทุกนัด

ไล่ไปตั้งแต่ เกมที่บุกไปเอาชนะ ฟูแล่ม ได้ 1-2 ลิเวอร์พูล ก็เฉือนเอาชนะไปได้จากลูกจุดโทษของ เจมส์ มิลเนอร์ ในนาทีที่ 81

ขณะที่เกมก่อนหน้านี้ ก็ได้สามคะแนนจาก สเปอร์ส แบบมีโชค ด้วยลูกทำเข้าประตูตัวเองของ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ ในนาทีที่ 90

มาจนถึงเกมล่าสุดกับ เซาธ์แฮมป์ตัน แฟนๆ ก็ต้องรอถึงนาทีที่ 80 กว่าที่ ซาล่าห์ จะมายิงประตูขึ้นนำได้สำเร็จ

ถ้าลองย้อนกลับไปดูตั้งแต่เปิดฤดูกาล เมื่อรวมสามนัดที่พูดถึงไปข้างต้น หากนับกันจริงๆ น่าจะมีอยู่ร่วมๆ 10 นัดเลยทีเดียว ที่หัวใจของสาวกหงส์แดงทั้งหมู่มวลต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ เพราะต้องลุ้นกันชนิดใจหายใจคว่ำถึงท้ายเกม

เท่าที่จำได้ ในบรรดาเกมเหล่านั้น มีเกมที่ทีมเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน จากประตูชัยของ โอริกี้ ในนาทีที่ 96 มีเกมที่ทีมบุกไปไล่ตีเสมอ เชลซี จากลูกยิงของ สเตอริดจ์ ในนาทีที่ 89

อีกเกมหนึ่งที่แฟนๆ คงจำได้ดีก็คือ เกมในแชมเปี้ยนส์ ลีกที่เอาชนะ เปแอสเช ไป 3-2 ลิเวอร์พูล ก็มาได้ประตูชัยจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ในนาทีที่ 91

หรือ เกมที่เฉือนเอาชนะ สเปอร์ส ที่เวมบลีย์ 1-2 ลิเวอร์พูล ก็รอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด เพราะไม่เสียลูกจุดโทษก่อนหมดเวลาเพียงอีกไม่กี่อึดใจ

ทั้งหลายทั้งปวง คงเป็นเรื่องที่ไม่เกินไปเลยนัก หากจะบอกว่า หลังจากที่กล้ามเนื้อหัวใจได้ เอ็กเซอร์ไซส์ ไปกับการลุ้นทีมโปรดของตัวเองมาตลอด 8 เดือน

ณ วินาทีนี้ แฟนบอล ลิเวอร์พูล น่าจะเป็นแฟนบอลที่หัวใจแกร่งสุดๆ

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กำลังลุ้นแชมป์อยู่ตอนนี้ ไหนจะต้องตามแช่งให้ แมนฯ ซิตี้ สะดุดแล้ว สาวก หงส์แดง ยังต้องตามเชียร์ทีมรักของตัวเองเก็บสามแต้มให้ได้ทุกนัดอีกด้วย

ซึ่งบอกได้เลยว่า 5 เกมที่เหลืออยู่ ไม่ว่าคู่ต่อสู้ของ ลิเวอร์พูล จะเป็นใคร ไม่มีเกมไหนที่ง่ายแน่นอน มิหนำซ้ำ น่าจะมีหลายนัดที่แฟนๆ คงต้องลุ้นกันชนิดใจแทบขาดอีกตามเคย

เมื่อเป็นเช่นนั้น สำหรับเหล่า เดอะ ค็อป ที่ หัวใจ ยังเก็บ เลเวล มาไม่มากพอ

ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า นับจากนี้ไป โปรดหลีกเลี่ยงการชมแม็ตช์ที่ ลิเวอร์พูล ลงเตะ จะเป็นการดีที่สุด!!!

เครดิตภาพ : www.premierleague.com, www.standard.co.uk

Copyright© Bsite.In

ในที่สุดก็รีสตาร์ทกลับมาแข่งขันกันเป็นที่เรียบร้อย สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ ลีกอังกฤษ…

แน่นอนว่าการแข่งแบบปิดสนามทำให้แฟนบอลต้องมาตามลุ้น ตามเชียร์ทีมรักของตัวเองอยู่ที่บ้าน ด้วยเหตุผลนี้นี่เองที่ทำให้ยอดผู้ชมเกมผ่านการถ่ายทอดสดทางหน้าจอทีวีเพิ่มขึ้นจนทำลายสถิติเดิม

โดยทาง สกาย สปอร์ตส์ เจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่อังกฤษได้รายงานว่า เกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ระหว่าง เอฟเวอร์ตัน กับ ลิเวอร์พูล เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (ตามเวลาในเมืองไทย) กลายเป็นแม็ตช์การแข่งขันที่มีผู้ชมมากที่สุดทำลายสถิติของพรีเมียร์ ลีก

แม้อย่างที่ทราบกันว่า ผลการแข่งขันของสองทีมอริร่วมเมืองในเกมนี้จะลงเอยด้วยการเสมอกันไป 0-0 แต่ปรากฎว่ามียอดผู้ชมฟุตบอลคู่นี้ผ่านทาง สกาย สปอร์ตส์ และ Pick TV รวมกันถึง 5.5 ล้านคน

ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นจำนวนผู้ชมที่มากกว่าเจ้าของสถิติเดิมนั่นก็คือเกมคู่ระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 2011/12 ที่มียอดผู้ชมแมนเชสเตอร์ดาร์บี้นัดนี้ผ่านหน้าจอทีวี 4.30 ล้านคน

โดยเกมดังกล่าว แวงซองต์ กอมปานี เป็นผู้โหม่งประตูชัยให้ทีมเรือใบสีฟ้าเอาชนะทีมปีศาจแดงไปได้ 1-0

นอกจากนี้ เกมระหว่าง บอร์นมัธ ที่เปิดบ้านแพ้ให้กับ คริสตัล พาเลซ ไป 0-2 ซึ่งถ่ายทอดสดผ่านทาง BBC 1 และ BBC iPlayer มียอดผู้ชมรวมกันทั้งหมด 4.50 ล้านคน ซึ่งมากกว่าคู่ของแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติเดิมเช่นกัน

10 อันดับ แม็ตช์พรีเมียร์ ลีกที่มีผู้ชมผ่านหน้าจอมากที่สุดมีดังนี้…

ในที่สุดก็กลับสู่เส้นทางแห่งชัยชนะอีกครั้งสำหรับ ลิเวอร์พูล หลังจากที่ก่อนหน้านี้แพ้ไป 3 จาก 4 เกมหลังสุดจากทุกรายการ…

แม้เกมที่พบกับ บอร์นมัธ จะถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่ ลิเวอร์พูล ต้องดิ้นรนอย่างหนักกว่าจะคว้าสามแต้มมาได้

แต่ถ้าถามใจสาวกหงส์แดงนาทีนี้ จะเล่นดี หรือเล่นไม่ดี ยังไงก็ไม่สำคัญเท่ากับขอชนะเอาไว้ก่อนเป็นพอ

เพราะจากชัยชนะเหนือ บอร์นมัธ ในเกมนี้ เท่ากับว่า ลิเวอร์พูล ขอเก็บชัยชนะอีกเพียง 3 นัด จาก 10 เกมที่เหลืออยู่เท่านั้น ก็จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกไปครองทันทีโดยไม่ต้องสนคะแนนของทีมอื่น

และต่อไปนี้คือ 10 ประเด็นที่น่าสนใจ หลัง ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเฉือน บอร์นมัธ ไปได้ 2-1 ซึ่งเรารวบรวมมาฝากกัน…

1. ชัยชนะเหนือ บอร์นมัธ 2-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ยืดสถิติไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์เป็น 55 นัดติดต่อกัน โดยเป็นการชนะ 45 เสมอ 10

2. การชนะในเกมนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล สร้างสถิติชนะเกมพรีเมียร์ ลีกในบ้าน 22 นัดรวด ซึ่งถือเป็นการเก็บชัยชนะเกมเหย้าติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของอังกฤษ

3. โดย 22 เกมที่ ลิเวอร์พูล ชนะรวดในแอนฟิลด์ไล่ไปตั้งแต่ ชนะ บอร์นมัธ 3-0 , วัตฟอร์ด 5-0, เบิร์นลี่ย์ 4-2, สเปอร์ส 2-1, เชลซี 2-0, ฮัดเดอร์ฟิลด์ 5-0, วูล์ฟส์ 2-0, นอริช 4-1, อาร์เซน่อล 3-1, นิวคาสเซิล 3-1, เลสเตอร์ 2-1, สเปอร์ส 2-1, แมนฯ ซิตี้ 3-1, ไบรท์ตัน 2-1, เอฟเวอร์ตัน 5-2, วัตฟอร์ด 2-0, วูล์ฟส์ 1-0, เชฟฯ ยูไนเต็ด 2-0, แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0, เซาธ์แฮมตัน 4-0, เวสต์แฮม 3-2 และบอร์นมัธ 2-1

4. ลิเวอร์พูล ชนะเกมในพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้ไปแล้ว 27 นัด ซึ่งเป็นการเก็บชัยชนะได้มากกว่าอาร์เซน่อลชุดไร้พ่ายที่ชนะไปทั้งหมด 26 นัด

5. ประตูตีเสมอของ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ในเกมนี้คือประตูที่ 70 จากการลงสนามเป็นนัดที่ 100 ในพรีเมียร์ ลีกให้ ลิเวอร์พูล

6. ซึ่งนั่นทำให้ ซาล่าห์ มีส่วนร่วมในการทำประตูไปแล้วถึง 94 ลูก (70 ประตู + 24 แอสซิสต์) นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล

7. ซาล่าห์ ทำประตูได้ 20 ลูก หรือมากกว่า ในทุกรายการได้เป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกันไล่ตั้งแต่…
ฤดูกาล 2017/18 ลงสนาม 52 นัด 44 ยิง ลูก
ฤดูกาล 2018/19 ลงสนาม 52 นัด ยิง 27 ลูก
ฤดูกาล 2019/20 ลงสนาม 39 นัด ยิงไปแล้ว 20 ลูก

8. ประตูชัยของ ซาดิโอ มาเน่ คือประตูลูกที่ 14 ของเขาในฤดูกาลนี้ โดยในซีซั่นนี้ มาเน่ ลงสนามไปทั้งหมด 26 นัด มีส่วนร่วมในการทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 21 ลูก (14 ประตู + 7 แอสซิสต์)

9. มาเน่ มีส่วนร่วมในการทำประตูไป 9 ลูก จาก 7 นัดล่าสุดในเกมพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์ โดยเป็นการยิง 5 ประตู + 4 แอสซิสต์

10. อาเดรียน ยังคงทำสถิติชนะ 100 เปอร์เซ็นต์ในยามที่ได้ลงเล่นในเกมพรีเมียร์ ลีกให้กับ ลิเวอร์พูล โดยเขาลงสนามไปแล้ว 11 นัด (สำรอง 2 เกม) ชนะทั้ง 11 นัด

ช็อค! กันไปตามๆ กันสำหรับสาวกหงส์แดง เมื่อทีมโปรดของตัวเองบุกไปพ่ายให้กับทีมที่กำลังดิ้นรนหนีตกชั้นอย่างวัตฟอร์ด

ถือเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล เล่นกันได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลนี้มาเลยก็ว่าได้ เพราะนอกเหนือจากเกมรุกที่แทบจะไม่มีพิษสงอะไรเลยแล้ว เกมรับก็ยังเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดจนทำให้ต้องเสียไปถึงสามประตู

ในขณะที่ทางฝั่งของ วัตฟอร์ด ต้องบอกว่านอกเหนือจาก ไนเจล เพียร์สัน กุนซือของทีมจะทำการบ้านมาเป็นอย่างดีแล้ว นักเตะทุกคนในทีมยังสามารถเล่นตามแผนกันได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำเอาทีมจ่าฝูงถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว

แม้จบเกมนี้ ลิเวอร์พูล จะยังคงมีแต้มห่างจากอันดับสอง แมนฯ ซิตี้ (ที่ไม่มีโปรแกรมเตะในสัปดาห์นี้เพราะต้องเล่นนัดชิงถ้วยคาราบาว คัพกับแอสตัน วิลล่า) อยู่ถึง 22 แต้มเท่าเดิม

แต่ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ก็ทำให้ลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์เสียโอกาสในการทำสถิติไปหลายๆ อย่าง

และต่อไปนี้คือ 10 ประเด็น หลัง ลิเวอร์พูล แพ้เป็นเกมแรกในพรีเมียร์ ลีกซีซั่นนี้ หลังบุกไปพ่ายให้กับวัตฟอร์ด 0-3

1. ความพ่ายแพ้ต่อวัตฟอร์ด 0-3 ทำให้ ลิเวอร์พูล จบสถิติไร้พ่ายไว้ที่ 44 นัดติดต่อกัน

2. ลิเวอร์พูล จบสถิติชนะในเกมลีกติดต่อกันไว้ที่ 18 เกม ไม่สามารถเท่าลายสถิติที่ แมนฯ ซิตี้ เคยทำเอาไว้เมื่อปี 2017 ไว้ที่ 18 เกมเท่ากันได้

3. นี่คือการพ่ายแพ้เกมลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 422 วันของ ลิเวอร์พูล โดยครั้งสุดท้ายที่แพ้ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2019 เมื่อครั้งบุกไปแพ้ให้ แมนฯ ซิตี้ 1-2

4. นี่ยังเป็นครั้งแรกในรอบ 860 วันที่ ลิเวอร์พูล แพ้ในเกมลีกด้วยผลต่างประตูที่ห่างกันเกิน 1 ลูก นับตั้งแต่ที่บุกไปแพ้ให้สเปอร์ส 1-4 เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2017

5. นี่คือครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2016 ที่ ลิเวอร์พูล เสียประตูให้กับคู่แข่ง 2 ลูกหรือมากกว่าสองนัดติดต่อกัน หลังจากเกมก่อนที่เอาชนะเวสต์แฮมไป 3-2 และเกมนี้ที่แพ้ให้วัตฟอร์ด 0-3

6. ลิเวอร์พูล หยุดสถิติการยิงประตูติดต่อกันในพรีเมียร์ ลีกไว้ที่ 36 เกม โดยเกมกับวัตฟอร์ดคือเกมแรกที่ ลิเวอร์พูล ทำประตูคู่ต่อสู้ไม่ได้นับตั้งแต่เกมเสมอกับเอฟเวอร์ตัน 0-0 เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2019

7. ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงตรงกรอบในเกมนี้แค่ครั้งเดียว ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่บุกไปเสมอแมนฯ ยูไนเต็ดแบบไร้สกอร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019 โดยในเกมนั้น ลิเวอร์พูล ก็มีโอกาสยิงตรงกรอบแค่หนเดียวเช่นกัน

8. นอกจากนั้น ในเกมนี้ ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงในกรอบเขตโทษของวัตฟอร์ดแค่สองครั้งเท่านั้น

9. อิสไมล่า ซาร์ กลายเป็นนักเตะคนแรกที่มีส่วนร่วมในการทำประตู ลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ ลีกคนเดียว 3 ลูก (ยิง 2 จ่าย 1) นับตั้งแต่ที่ แฮร์รี่ เคน เคยทำได้ในเกมที่ สเปอร์ส เอาชนะ ลิเวอร์พูล ไป 1-4 เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2017

10. นอกจากนั้น ซาร์ ยังเป็นนักเตะคนแรกที่ทำแบบนั้นได้ในการเผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล ซึ่งมี เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็ค

เป็นอีกหนึ่งเกมที่ทำเอาสาวกหงส์แดงต้องลุ้นกันชนิด ‘หืดจับ’ กว่าจะเอาชนะทีมท้ายตารางไปได้…

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมบุกไปเฉือนเอาชนะ นอริช ได้แบบหวุดหวิด คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่าแม้จะไม่ได้อยู่ในฟอร์มการเล่นที่ดีอะไรนัก แต่ ลิเวอร์พูล ก็มักจะหาวิธีการเอาชนะคู่แข่งได้ในท้ายที่สุด

หากจำกันได้ ก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล เคยทำสิ่งนี้ให้เห็นมาแล้วหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นเกมเอาชนะ เลสเตอร์ ที่แอนฟิลด์ เกมบุกไปเอาชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด, แอสตัน วิลล่า และ วูล์ฟส์

ซึ่งจะว่าไปแล้ว นี่เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งซึ่งทีมที่จะเป็นแชมป์ต้องมี และมันก็ส่งผลลัพธ์ออกมาให้เห็นชัดเจนมากจากจำนวนแต้มที่พวกเขาได้มา รวมไปถึงความห่างของแต้มที่พวกเขาทิ้งคู่แข่งไปแบบสุดกู่ ณ ตอนนี้

แน่นอนว่า ตราบใดที่ยังไม่มีทีมไหนมาหยุดยั้งความร้อนแรงของ ลิเวอร์พูล ได้ พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าสร้างสถิติใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นทุกครั้งหลังจบแม็ตช์การแข่งขัน

และต่อไปนี้คือ 17 ประเด็น หลังเกม ลิเวอร์พูล เฉือนชนะ นอริช ที่เรารวบรวมมาฝากกันแบบ เต็มอิ่ม จุใจ เช่นเคย…

1. ชัยชนะเหนือนอริช 0-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ยืดสถิติไม่แพ้ใครเป็นนัดที่ 43 ติดต่อกัน แซงหน้า น็อตติ้งแฮม ฟอร์เรสต์ ที่เคยทำเอาไว้ 42 นัด และขยับเข้าใกล้สถิติไร้พ่ายยาวนานที่สุดที่ อาร์เซน่อล เคยทำเอาไว้ที่ 49 นัด

2. นับตั้งแต่บุกไปเสมอแมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ลิเวอร์พูล เดินหน้าเก็บชัยชนะในพรีเมียร์ ลีก 17 นัดรวด ซึ่งเป็นการคว้าชัยชนะติดต่อกันเท่ากับสถิติที่ตัวเองเคยทำเอาไว้เมื่อฤดูกาลก่อน

3. ซึ่งนั่นหมายความว่า ลิเวอร์พูล จะทำสถิติชนะรวดมากที่สุดเท่ากับที่แมนฯ ซิตี้เคยทำเอาไว้ 18 นัดทันที หากพวกเขาเปิดบ้านเอาชนะเวสต์แฮมได้ในเกมพรีเมียร์ ลีกนัดต่อไป

4. ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เก็บไปแล้ว 76 จาก 78 แต้มแต็ม ในการลงเตะไป 26 นัด นำเป็นจ่าฝูงด้วยการทิ้งห่างอันดับที่สองถึง 25 แต้ม

5. ซึ่งในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของอังกฤษ ยังไม่เคยมีทีมไหนทำแต้มนำอันดับสองได้ห่างขนาดเท่ากับที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ตอนนี้

6. ในเกมพรีเมียร์ ลีก 35 นัดล่าสุด ลิเวอร์พูล เก็บไปได้ถึง 103 จาก 105 แต้มเต็ม จากผลงานชนะ 34 เสมอ 1 แพ้ 0

7. ชัยชนะในเกมเยือน นอริช ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ พาทีมเก็บชัยชนะเป็นนัดที่ 155 จากการลงสนามทุกรายการ 250 เกม (เคนนี่ เดลกลิช ชนะ 152 จาก 250 เกม, บ็อบ เพลสลี่ย์ ชนะ 140 จาก 250 เกม, เชร์าร์ด อุลลิเย่ร์ ชนะ 134 จาก 250 เกม, บิล แชงค์ลี่ย์ ชนะ 133 จาก 250 เกม)

8. ผลงานของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในเกมพรีเมียร์ ลีก 4 นัดล่าสุด คือ ยิง 2 ประตู กับอีก 3 แอสซิสต์

9. โดยจังหวะที่ กัปตันเฮนโด้ ตักบอลให้ ซาดิโอ มาเน่ ยิงประตูชัยในเกมนี้ เป็นแอสซิสต์ลูกที่ 5 แล้วในพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้

10. ประตูของ ซาดิโอ มาเน่ คือประตูที่ 100 ในชีวิตการค้าแข้งของเขาในอังกฤษ โดยเป็นการยิงให้ ลิเวอร์พูล 75 ประตู และยิงให้ เซาธ์แฮมตัน 25 ประตู

11. ทั้ง 100 ประตูของ มาเน่ ดังกล่าวแบ่งเป็นการยิงด้วยเท้าขวา 59 ลูก เท้าซ้าย 27 ลูก และโหม่ง 14 ลูก จากการลงสนามไปทั้งหมด 230 เกม

12. แม้ว่าประตูนี้จะเป็นประตูลูกที่ 57 ในเกมพรีเมียร์ ลีกที่ มาเน่ ยิงให้ ลิเวอร์พูล แต่นี่คือประตูแรกที่เขาทำได้จากการถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรอง

13. นอกจากนี้ ในจำนวน 33 ประตูที่ มาเน่ ยิงให้ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ปี 2019 กว่า 17 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประตูดังกล่าวคือลูกที่ มาเน่ ยิงเป็นประตูชัยให้กับทีม

14. จนถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล ยิงประตูติดต่อกันในเกมพรีเมียร์ ลีกมาแล้วเป็นนัด 35 โดยมีแค่สองทีมเท่านั้นที่มีสถิติเหนือกว่านั่นคือ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ยิงประตูได้ 36 เกมติดต่อกัน (ธันวาคม 2007 – พฤศจิกายน 2008) และ อาร์เซน่อล ที่ยิงประตูได้ 55 เกมติดต่อกัน (พฤษภาคม 2001 – พฤศจิกายน 2002)

15. อลิสซอน เบ็คเกอร์ กลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่เก็บได้ 10 คลีทชีทในพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้ โดยเขาลงเล่นไปแค่ 18 เกมเท่านั้น!

16. การไม่เสียประตูในเกมนี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล เก็บไป 10 คลีทชีท จาก 11 เกมล่าสุดในพรีเมียร์ ลีก

17. ซึ่งนั่นทำให้ ลิเวอร์พูล เสียไปเพียงแค่ประตูเดียวจากการลงเล่นในพรีเมียร์ ลีกไป 810 นาที โดยประตูล่าสุดที่เสียคือนัดที่บุกไปเอาชนะวูล์ฟส์ได้ 1-2 เมื่อ 23 มกราคม ที่ผ่านมา

เก็บสามแต้มได้สำเร็จตามความคาดหมายอีกครั้ง สำหรับ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่เปิดสนามแอนฟิลด์เอาชนะเซาธ์แฮมตันผู้มาเยือนไปได้แบบไม่ยากเย็นอะไร

แม้ภาพรวมในครึ่งแรกเกมที่ออกมาจะยังดูสูสีจากโอกาสที่ต่างฝ่ายก็มีจังหวะในการได้ประตูขึ้นนำพอๆ กัน แต่พอกลับมาลงสนามในครึ่งหลังก็เหมือนกลายเป็นหนังคนละม้วน

เมื่อ ลิเวอร์พูล ได้ประตูขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นเกมในครึ่งหลัง ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมนี้ เพราะหลังจากที่เสียประตูไปแล้ว เซาธ์แฮมตัน พยายามเปิดหน้าแลกมากขึ้นเพื่อหวังที่จะเอาประตูคืน

ซึ่งนั่นทำให้เกมไปเข้าทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ทันที เพราะนั่นทำให้พวกเขาที่มีพื้นที่ให้เล่นเกมสวนกลับมากขึ้น

และทางฝั่งเจ้าบ้านก็มาได้เพิ่มอีกถึง 3 ประตูด้วยกัน ซึ่งทุกประตูล้วนแต่มาจากการเล่นสวนกลับทั้งสิ้น และสุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายถล่มเอาชนะไปได้ในที่สุด 4-0

แน่นอนว่าหลังจบเกมนี้ ลิเวอร์พูล ยังคงสร้างสถิติใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอีกหลายเรื่องเช่นเคย แต่จะมีอะไรบ้างนั้น ต่อไปนี้คือ 16 ประเด็น ที่น่าสนใจซึ่งเรารวบรวมมาฝากกัน…

1. ชัยชนะ 4-0 เหนือ เซาธ์แฮมตัน ทำให้ ลิเวอร์พูล ไร้พ่ายเกมในบ้านมา 12 เดือนเต็มๆ ทำสถิติไม่แพ้ใครในเกมพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์เป็นนัดที่ 53 ติดต่อกัน โดย 20 นัดล่าสุดเป็นการชนะรวด!!!

2. ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่ชนะเกมเหย้าในลีกสูงสุด 20 นัดติดต่อกัน โดยก่อนหน้านี้ทีมที่ทำได้คือ เปรสตัน (ก.ย. 1891 – ธ.ค. 1892), นิวคาสเซิล (เม.ย. 1906 – เม.ย. 1907), แมนฯ ซิตี้ (มี.ค. 2011-มี.ค. 2012), ลิเวอร์พูล (ม.ค. – ธ.ค. 1972)

3. นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ทำสถิติไม่แพ้ใครในลีกสูงสุดเป็นนัดที่ 42 ติดต่อกันเท่ากับที่น็อตติ้งแฮม ฟอร์เรสต์เยทำเอาไว้เมื่อปี 1978-79 ซึ่งตอนนี้มีเพียง อาร์เซน่อล ทีมเดียวทำนั้นที่ไม่แพ้ใครในลีกสูงสุดนานกว่าโดยเคยทำเอาไว้ที่ 49 เกม

4. นับตั้งแต่บุกไปเสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ลิเวอร์พูล ทำสถิติชนะรวดในพรีเมียร์ ลีกไปแล้ว 16 นัด โดยทีมที่เคยชนะรวดในพรีเมียร์ ลีกมากที่สุดคือ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งทำเอาไว้ที่ 18 นัด เมื่อปี 2017

5. ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เก็บไปแล้ว 73 จาก 75 แต้มแต็ม ในการลงเตะไปเพียง 25 นัด ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่ทำคะแนนแตะหลัก 73 แต้มได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลบอลลีกอังกฤษ

6. เท่านั้นยังไม่พอ ในเกมพรีเมียร์ ลีก 34 เกมล่าสุด พวกเขาชนะไป 33 เสมอ 1 แพ้ 0 เก็บไปได้ถึง 100 จาก 102 แต้มเต็ม

7. ซีซั่นนี้ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ทำประตูในทุกรายการให้กับ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 7 ลูก ซึ่งถือเป็นการยิงประตูได้ในฤดูกาลเดียวมากที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของเขา

8. แชมเบอร์เลน ทำประตูได้จากการยิงนอกกรอบเขตโทษไปแล้ว 3 ลูก ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล ที่ทำประตูได้จากลูกยิงไกลมากที่สุดในตอนนี้

9. สองประตูในเกมนี้ทำให้ โม ซาล่าห์ มีส่วนร่วมในการทำประตูเซาธ์แฮมตันไปแล้วทั้งหมด 8 ลูกจากการพบกันในพรีเมียร์ ลีก 6 เกม โดยเป็นการยิง 7 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์

10. นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2017 ซาล่าห์ ยิงประตูที่แอนฟิลด์เฉพาะในเกมลีกไปแล้วคนเดียว 44 ลูก ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นนักเตะพรีเมียร์ ลีกที่ยิงประตูเกมในบ้านได้มากที่สุด

11. ไม่เพียงแค่นั้น หากวัดกันใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา ซาล่าห์ ยิงประตูเกมในบ้านได้มากที่สุดเป็นอันดับสองรองจาก ลิโอเนล เมสซี่ ที่ยิงไปแล้ว 51 ลูก

12. ลิเวอร์พูล ยังไม่เคยแพ้ในเกมพรีเมียร์ ลีกเลยแม้แต่นัดเดียวเมื่อมี ซาล่าห์ ลงสนาม โดยเป็นการชนะ 40 เสมอ 9 แพ้ 0

13. นอกจากจะทำได้ 1 ประตู จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ได้รับเลือกให้เป็น แมนฯ ออฟ เดอะ แม็ตช์ จาก บีบีซี ยังทำได้อีก 1 แอสซิสต์ในเกมนี้ ซึ่งนั่นทำให้ เฮนโด้ กลายเป็นนักเตะที่ทำแอสซิสต์ให้กับทีมไปแล้ว 35 ครั้ง มากที่สุดเป็นอันดับสามรองจาก สตีฟ แม็คมานามาน (58 ครั้ง) และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด (92 ครั้ง)

14. โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ สร้างสรรค์โอกาสให้กับทีมในเกมนี้ไป 4 ครั้ง และ 3 จาก 4 ครั้ง กลายเป็นแอสซิสต์ที่นำไปสู่การได้ประตูของทีม

15. การไม่เสียประตูในเกมนี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล เก็บไป 9 คลีทชีท จาก 10 เกมล่าสุดในพรีเมียร์ ลีก และเสียไปแค่ 1 ประตู โดยทุกเกมดังกล่าวเป็นการจับคู่กันของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ โกเมซ ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค

16. หลังจากต้องพลาดการลงสนามในพรีเมียร์ ลีกไปถึง 8 เกม ตอนนี้ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เขยิบขึ้นมาเป็นนายทวารที่รักษาคลีทชีทได้มากที่สุดในลีกแล้วเรียบร้อย โดยเขาเก็บไป 9 คลีทชีทเท่ากับดีน เฮนเดอร์สันของเชฟฯ ยูไนเต็ด

ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่ยากที่สุดของฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้ สำหรับการบุกไปเยือน วูล์ฟส์ ที่ โมลินิวซ์ สเตเดี้ยม แต่จนแล้วจนรอด ลิเวอร์พูล ก็เก็บสามแต้มกลับออกมาได้สำเร็จ

แม้ทีมหงส์แดงจะได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วจากลูกโหม่งของจอร์แดน เฮนเดอร์สันในนาทีที่ 8 แต่หลังจากนั้น จุดเปลี่ยนที่สำคัญของเกมนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ มีอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังจนเล่นต่อไหวถูกเปลี่ยนตัวออกไปตั้งแต่นาทีที่ 33 โดย เจอร์เก้น คล็อปป์ ส่ง ทาคุมิ มินามิโนะ ลงมาเล่นแทน ซึ่งนี่ถือเป็นการประเดิมสนามในพรีเมียร์ ลีกเกมแรกของแนวรุกทีมชาติญี่ปุ่นด้วย

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า มินามิโนะ ยังทดแทนตำแหน่งตรงนี้ของ มาเน่ ได้ไม่ดีนัก จนทำให้จังหวะการเดินเกมรุกของ ลิเวอร์พูล ไม่ไหลลื่น และไม่น่ากลัวเท่าที่ควร

จุดนี้เองที่มีส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้ วูล์ฟส์ กล้าเสี่ยงที่จะเปิดเกมรุกแลกกลับ ลิเวอร์พูล มากยิ่งขึ้น จนสุดท้ายนำไปสู่ลูกตีเสมอของฝั่งเจ้าบ้านจาก ราอูล ฆิเมเนซ

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ก็ยังแสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจอันแข็งแกร่ง ที่ไม่หวั่นไหวต่อสถานการณ์ที่คับขันเสี่ยงต่อการเพลียงพล้ำ และสุดท้ายก็ได้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ เป็นฮีโร่ทำประตูชัยช่วงท้ายเกมให้ ลิเวอร์พูล เชือด วูล์ฟส์ ไปแบบหวุดหวิด 1-2

และต่อไปนี้ คือ 14 ประเด็นหลังเกมที่ หงส์แดง บุกไปเฉือนชนะ หมาป่า ได้ถึงถิ่น ที่เรารวบรวมมาฝากให้ได้อ่านกันแบบเต็มอิ่ม จุใจเช่นเคย…

1. ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ 5 ในประวัติศาสตร์ของลีกอังกฤษที่ทำสถิติไม่แพ้ใคร 40 นัดติดต่อกันหรือมากกว่า โดย 5 ทีมดังกล่าวคือ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ (1977-78), อาร์เซน่อล (2003-04), เชลซี (2004-05), ฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์ (2011) และ ลิเวอร์พูล (2019-20)

2. ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เก็บไปแล้ว 67 แต้มจาก 69 คะแนนเต็ม ถือเป็นทีมที่เก็บแต้มได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตอลอังกฤษหลังจากผ่านไป 23 นัด

3. นอกจากนี้ ชัยชนะในเกมบุกไปเยือน วูล์ฟส์ ทำให้ ลิเวอร์พูล เดินหน้าคว้าชัยในพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้ติดต่อกันเป็นนัดที่ 14 ซึ่งสถิตินี้เป็นรองแค่ แมนฯ ซิตี้ ที่ชนะรวด 15 นัดเมื่อฤดูกาลก่อน, ลิเวอร์พูล ซึ่งชนะรวดไป 17 นัดเมื่อซีซั่นที่แล้ว และ แมนฯ ซิตี้ ที่ชนะไป 18 รวดนัดเมื่อปี 2017

4. นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร วูล์ฟส์ ที่แพ้เกมในบ้านให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 4 ติดต่อกัน

5. ซึ่งนั่นยังทำให้ วูล์ฟส์ ไม่สามารถรักษาคลีทชีทได้เลยใน 9 นัดล่าสุดที่ลงเตะกับ ลิเวอร์พูล

6. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เจ้าของตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ในเกมนี้ ทำประตูรวมให้กับ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลเดียวได้มากกว่า 1 ลูกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2015/16

7. แอสซิสต์ที่ทำได้ในเกมนี้ ทำให้ เฮนโด้ กลายเป็นนักเตะที่ทำแอสซิสต์ให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกมากที่สุดเป็นอันดับสาม โดย เฮนโด้ ทำแอสซิสต์ ไปแล้ว 35 ครั้ง เป็นรองเพียง สตีฟ แม็คมานามาน 58 ครั้ง และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด 92 ครั้ง

8. ประตูชัยของ บ็อบบี้ ฟีร์มิโน่ คือประตูลูก 8 ของเขาในพรีเมียร์ ลีก โดยทั้ง 8 เป็นการยิงประตูได้ในเกมเยือนทั้งหมด

9. นอกจากนั้น ประตูของ บ็อบบี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ประตูในนาทีที่ 80 ขึ้นไปรวมทั้งหมด 12 ลูกแล้วจนถึงตอนนี้ ไล่ไปตั้งแต่…

95′ มาเน่ vs เชลซี (ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ)
80′ ฟีร์มิโน่ vs เบิร์นลี่ย์
90+5′ มิลเนอร์ vs เลสเตอร์
85′ ลัลลน่า vs แมนฯ ยูไนเต็ด
90+4′ โอริกี้ vs อาร์เซน่อล (คาราบาว คัพ)
87′ โรเบิร์ตสัน vs วิลล่า
90+4′ มาเน่ vs วิลล่า
85′ ฟีร์มิโน่ vs คริสตัล พาเลซ
90+1′ ฟีร์มิโน่ vs มอนเตอร์เรย์ (ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ)
99′ ฟีร์มิโน่ vs ฟลาเมงโก้ (ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ)
90+3′ ซาล่าห์ vs แมนฯ ยูไนเต็ด
84′ ฟีร์มิโน่ vs วูล์ฟส์

10. นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ คือนักเตะที่ทำแอสซิสต์มากที่สุดในเกมพรีเมียร์ ลีก โดยเขาทำแอสซิสต์ไปแล้วทั้งหมด 22 ครั้ง

11. โดย 10 จากทั้งหมด 22 แอสซิสต์ ดังกล่าว มาจากการเตะลูกนิ่ง ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ทำแอสซิสต์จากลูกนิ่งได้มากที่สุดในพรีเมียร์ ลีกอีกด้วย

12. นอกจากนี้ เทรนท์ ยังเป็นนักเตะกองหลังคนแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีกที่ทำแอสซิสต์เกิน 10 ลูกได้สองฤดูกาลติดต่อกัน โดยซีซั่นที่แล้ว เทรนท์ ทำไป 12 แอสซิสต์ ขณะที่ฤดูกาลนี้ทำไปแล้ว 10 แอสซิสต์ (เป็นรองแค่เควิน เดอ บรอยน์ที่ทำไป 15 แอสซิสต์)

13. ซึ่งนั่นเท่ากับว่า หาก เทรนท์ ทำได้อีก 3 แอสซิสต์ จากการลงเตะ 15 นัดที่เหลือ เขาจะทำลายสถิติกองหลังที่ทำแอสซิสต์มากที่สุดในพรีเมียร์ ลีกของตัวเองได้สำเร็จ

14. ประตูตีเสมอของ ราอูล ฆิเมเนซ เป็นประตูแรกที่ ลิเวอร์พูล เสียให้กับคู่แข่งในรอบ 725 นาที (หรือราวๆ 12 ชั่วโมง) โดยประตูที่ ลิเวอร์พูล เสียให้กับคู่ต่อสู้ในเกมพรีเมียร์ ลีกก่อนหน้านี้คือประตูของริชาร์ลิสันในเกมพบเอฟเวอร์ตันที่แอนฟิลด์ เมื่อ 50 วันที่แล้ว

เครดิตภาพ : Evening Standard