บางทีการที่สโมสรตัดสินใจปลด โจเซ่ มูรินโญ่ ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายแล้วก็เป็นได้

เพราะตลอด 2 ปีกับอีก 7 เดือนในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มูรินโญ่ มีปัญหารอบด้านกับทั้ง ผู้บริหารสโมสร, นักเตะในทีม, แฟนบอลทั้งของทีมตัวเอง และทีมคู่แข่ง

หลังๆ ถึงขนาดลามไปมีปัญหากับ นักข่าว ซึ่งเรามักจะเห็นกุนซือจอมโอหังคนนี้ให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์อันเกรี้ยวกราวอยู่บ่อยๆ ยามที่มีคนยิงคำถามไม่เข้าหูใส่เขา

เมื่อมาบวกกับการที่ทีมทำผลงานได้ย่ำแย่สุดๆ ในฤดูกาลนี้ ก็ยิ่งทำให้เวลาสำหรับการเป็นผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ของ มูรินโญ่ เริ่มนับถอยหลังลงเรื่อยๆ จนถูกปลดออกจากตำแหน่งในที่สุด

และต่อไปนี้คือ 10 ประเด็นน่าสนใจ หลังจาก โจเซ่ มูรินโญ่ ไม่ได้ไปต่อในตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนฯยูฯ

1. ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2015 โจเซ่ มูรินโญ่ ถูก เชลซี ปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม หลังคุมทีมแพ้ไปถึง 9 นัด จากการลงสนามไป 16 เกม และอีก 3 ปีให้หลัง วันที่ 18 ธันวาคม 2018 มูรินโญ่ ก็โดนปลดออกจากตำแหน่งกุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจากแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมแดงเดือดไปแบบไม่มีทางสู้

2. หลังเกมแพ้ ลิเวอร์พูล 3-1 มูรินโญ่ พาทีม แมนฯ ยูไนเต็ด จมอยู่ในอันดับ 6 ของตาราง เก็บได้เพียง 26 แต้ม จาก 17 เกม ซึ่งถือเป็นการออกสตาร์ทฤดูกาลที่แย่ที่สุดของสโมสรในรอบ 28 ปี

3. หลังจากผ่านไป 17 นัด แมนฯ ยูไนเต็ด มีแเต้มตามหลัง ลิเวอร์พูล จ่าฝูงถึง 19 แต้ม และตามหลังอันดับท๊อปโฟร์อยู่ถึง 11 คะแนน แถมเสียประตูไปแล้วถึง 29 ลูก ทั้งๆ ที่ซีซั่นก่อนพวกเขาเสียประตูตลอดทั้งฤดูกาลแค่ 28 ลูกเท่านั้น

4. เจอร์เก้น คล็อปป์ กลายเป็นผู้จัดการทีมที่มีส่วนทำให้ มูรินโญ่ ถูกปลดออกจากตำแหน่งมาแล้ว 3 ครั้ง
– ครั้งแรก คล็อปป์ นำทีม ดอร์ทมุนด์ เอาชนะ รีล มาดริด ของ มูรินโญ่ ไปได้ 4-1 ในรอบรองฯ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก ทำให้ มูรินโญ่ ถูกปลดหลังจบฤดูกาลในปี 2013
– ครั้งที่สอง เกิดขึ้นในปี 2015 เมื่อ คล็อปป์ นำทีม ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ไปได้ 3-1 ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา มูรินโญ่ ถูกปลด
– ครั้งที่สาม ในเกมแดงเดือดนัดล่าสุดซึ่ง ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ไป 3-1 อีกสองวันต่อมา มูรินโญ่ ก็ถูกปลด

5. มูรินโญ่ คุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ไปทั้งหมด 144 เกม โดยมีเปอร์เซ็นต์การชนะอยู่ที่ 58.3 เปอร์เซ็นต์ และคว้าแชมป์รายการใหญ่มาได้ 2 ถ้วย (ลีก คัพ และ ยูโรป้า คัพ)
ขณะที่ หลุยส์ ฟาน กัล คุม แมนฯ ยูไนเต็ด ไปทั้งหมด 103 เกม เปอร์เซ็นต์การชนะอยู่ที่ 52.4 เปอร์เซ็นต์ และคว้าแชมป์รายการใหญ่มาได้ 1 ถ้วย
ส่วน เดวิด มอยส์ คุม แมนฯ ยูไนเต็ด ไปทั้งหมด 51 เกม เปอร์เซ็นต์การชนะอยู่ที่ 52.9 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีแชมป์ติดมือ

6. มูรินโญ่, ฟาน กัล และ มอยส์ คุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด รวมกันทั้งหมด 6 ฤดูกาล แต่ไม่มีใครพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกได้สำเร็จเลย

7. แมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมเดียวที่ มูรินโญ่ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมแล้วไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ มูรินโญ่ ไปคุมทีมไหนก็พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้หมด ไล่ตั้งแต่ ปอร์โต้, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน, รีล มาดริด และมาได้แชมป์กับ เชลซี อีกครั้งจากการกลับมาคุมทีมหนที่สอง

8. ตลอดการคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ของ มูรินโญ่ เขาซื้อนักเตะเป็นเงินรวมทั้งหมดเกือบ 400 ล้านปอนด์ ได้แก่
พอล ป็อกบา – ค่าตัว 89 ล้านปอนด์ (ย้ายมาจาก ยูเวนตุส เมื่อเดือน สิงหาคม 2016)
โรเมลู ลูกากู – ค่าตัว 75 ล้านปอนด์ (ย้ายมาจาก เอฟเวอร์ตัน เมื่อเดือน กรกฎาคม 2017)
เฟร็ด – ค่าตัว 52 ล้านปอนด์ (ย้ายมาจาก ชัคตาร์ โดเน็ทส์ค เมื่อเดือน มิถุนายน 2018)
เนมันย่า มาติช – ค่าตัว 40 ล้านปอนด์ (ย้ายมาจาก เชลซี เมื่อเดือน สิงหาคม 2017)
วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ – ค่าตัว 31 ล้านปอนด์ (ย้ายมาจาก เบนฟิก้า เมื่อเดือน กรกฎาคม 2017)
เอริค ไบยี่ – ค่าตัว 30 ล้านปอนด์ (ย้ายมาจาก บียาร์เรอัล เมื่อเดือน มิถุนายน 2016)
เฮนริคห์ มคิตาร์ยาน – ค่าตัว 26.3 ล้านปอนด์ (ย้ายมาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อเดือน กรกฏาคม 2016)
ดิโอโก้ ดาโลต์ – ค่าตัว 19 ล้านปอนด์ (ย้ายมาจาก ปอร์โต้ เมื่อเดือน มิถุนายน 2018)
อเล็กซิส ซานเชซ – ย้ายสลับตัวกับ มคิตาร์ยาน จาก อาร์เซน่อล เมื่อเดือน มกราคม 2018
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช – ค่าตัว ฟรี (เมื่อเดือน กรกฎาคม 2016)
ลี แกรนท์ – ค่าตัว ฟรี (เมื่อเดือน กรกฎาคม 2018)

9. โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตหัวหอกซูเปอร์ซับ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวจนจบฤดูกาลนี้ เคยลงเล่นในพรีเมียร์ ลีกให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปทั้งหมด 235 นัด ยิงได้ 91 ประตู กับ อีก 37 แอสซิสต์ และเคยคว้าแชมป์ร่วมกับทีม 6 สมัย

10. ตัวเต็งที่สื่อในอังกฤษรายงานว่าจะมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในฤดูกาลหน้านั้นมีทั้ง ซีเนอดีน ซีดาน, เมาริซิโอ โปเซ็ตติโน่, อันโตนิโอ คอนเต้, ลีโอนาร์โด ยาร์ดิม, ไรอัน กิ๊กส์

เครดิตภาพ : www.standard.co.uk / theunitedstand.com

และแล้วก็เป็นเหล่าสาวก เดอะ ค็อป ที่สุขสมหวังกันไปสำหรับเกม แดงเดือด ที่ไม่ค่อย เดือด สมชื่อซักเท่าไหร่…

เพราะเกมนี้ เป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ครองบอลบุกอยู่ฝ่ายเดียวเกือบตลอดทั้งเกม ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด กลับทำอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากถอยลงไปตั้งรับในแดนตัวเอง และสุดท้ายก็เป็นฝั่ง หงส์แดง ที่เอาชนะไปได้แบบสบายๆ ด้วยสกอร์ 3-1

หลังความพ่ายแพ้แบบสู้กันไม่ได้ในเกมนี้ ทำให้ในโลกโซเชียลของเหล่าบรรดา เรด เดวิลส์ ทั่วโลกรวมถึงเมืองไทย ดูจะร้อนระอุกว่าเกมในสนามเสียอีก

เพราะกองเชียร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่างพากันออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทีมรักของตัวเองอย่าง “ดุเดือด” โดยเสียงแตกออกเป็น 3 ฝ่ายใหญ่ๆ

ฝ่ายแรกคิดว่า ที่เล่นกันได้แย่ขนาดนี้ เป็นเพราะนักเตะในทีมนี่แหละที่ไม่ได้เรื่องเอง แต่อีกฝ่ายกลับมองว่า ในฐานะคนเป็นผู้จัดการทีม โจเซ่ มูรินโญ่ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

ขณะเดียวกันก็มีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งโทษไปถึงบอร์ดบริหารว่า เป็นกลุ่มธุรกิจที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องฟุตบอล แต่เข้ามาเพียงเพื่อต้องการกอบโกยผลประโยชน์ จนทำให้สโมสรตกต่ำลงเรื่อยๆ

เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะนำเอาคอมเม้นต์ของแฟนบอลปีศาจแดงเหล่านี้มาประมวลดูว่า จริงๆ แล้วเป็นความผิดของใครระหว่าง นักเตะ, มูรินโญ่ หรือ บอร์ดบริหาร ที่ทำให้ทีมมีฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ขนาดนี้?

นักเตะ ยังดีไม่พอสำหรับทีม แมนฯ ยูไนเต็ด?

หลังจบเกมนี้ ตำนานปีศาจแดงอย่าง รอย คีน และ ไรอัน กิ๊กส์ ออกมาแสดงความคิดเห็นคล้ายๆ กันว่า ผู้เล่นหลายคนในทีมตอนนี้ยังดีไม่พอสำหรับการเป็นนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด

โดยเฉพาะ กิ๊กส์ เจ้าของฉายาปีกพ่อมด ที่ออกมาระบุเลยว่า โรเมลู ลูกากู คือจุดอ่อนของทีมอย่างแท้จริง เขาบอกว่า เมื่อก่อนนี้ทีมเคยมีกองหน้าอย่าง เอริค คันโตน่า ที่สามารถทำบอลแย่ๆ ให้กลายเป็นบอลดีได้ แต่ ลูกากู กลับทำบอลดีๆ ให้กลายเป็นบอลแย่

อย่างไรก็ตาม มีแฟนบอลจำนวนไม่น้อยที่ออกมาแสดงความเห็นว่า จะไปโทษนักเตะฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ เพราะนักเตะชุดนี้หลายคน โจเซ่ มูรินโญ่ เป็นคนซื้อมาร่วมทีมเอง

อีกอย่างหนึ่งก็คือ แท็คติกและแผนการเล่น ก็เป็น มูรินโญ่ นี่แหละที่เป็นคนวางหมากแบบนี้ให้นักเตะลงไปเล่นในสนาม เพราะฉะนั้น ถ้าจะโทษ ต้องโทษ มูรินโญ่ ด้วยถึงจะถูก!

มูรินโญ่ คือ คนที่ “ไม่ใช่”?

จริงๆ แล้วเสียงวิจารณ์นี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากแพ้ ลิเวอร์พูล ในเกมแดงเดือด แต่เกิดขึ้นมาตลอดนับตั้งแต่วันแรกที่ มูรินโญ่ ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด

และถึงแม้ มูรินโญ่ อาจจะเคยพาทีมคว้าแชมป์ยูโรป้า รวมถึงฤดูกาลที่แล้วทำทีมจบอันดับสองในพรีเมียร์ ลีก โดยเป็นรองแค่แมนฯซิตี้

แต่ก็ยังไม่วายที่จะมีเสียงก่นด่าตามมาจากแฟนบอลถึงรูปแบบการเล่นที่เน้นผลการแข่งขัน ชอบให้ลูกทีมตั้งรับอย่างรัดกุม จนทำให้เกมดูแล้วน่าเบื่อ

ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสไตล์การเล่นเกมรุกอันดุดันที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานตลอดช่วงยุค 90 ที่ผ่านมา

และเมื่อไหร่ที่ ทรงบอล ก็ไม่ได้เรื่อง เก็บผลการแข่งขันที่ต้องการก็ไม่ได้ เสียงเรียกร้องให้ไล่ มูรินโญ่ ออกจากตำแหน่งก็จะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในหลายๆ นัดที่ แมนฯ ยูฯ ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็น การบุกไปแพ้ ไบรท์ตัน 3-2 หรือการทำได้แค่เสมอในบ้านกับทีมอย่าง วูลฟ์ และ คริสตัล พาเลซ

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีแฟนบอลอีกจำนวนหนึ่งที่ออกมาปกป้องกุนซือชาวโปรตุกีสรายนี้ว่า ที่ทีมโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีต้องโทษบอร์ดบริหารด้วยที่ไม่ยอมอนุมัติงบให้ มูรินโญ่ ซื้อนักเตะมาเสริมทีมในฤดูกาลนี้ตามที่เขาต้องการ

แฟนบอลที่คิดต่างเลยต้องออกมาสวนกลับทันควันว่า ตั้งแต่มาคุมทีม บอร์ดเซ็นเช็คให้ มูรินโญ่ ช็อปนักเตะไปแล้วกว่า 300 ล้านปอนด์ ไล่ไปตั้งแต่ ป็อกบา (90 ล้านปอนด์), ลูกากู (85 ล้านปอนด์), เฟร็ด (52 ล้านปอนด์), มาติช (40 ล้านปอนด์), ลินเดอเลิฟ (40 ล้านปอนด์), ไบยี่ (30 ล้านปอนด์)

นอกจากนั้น ยังมี อเล็กซิส ซานเซส อีกคน ที่ถึงแม้จะได้ตัวมาแบบฟรีๆ แต่ก็ต้องจ่ายค่าเหนื่อยสูงถึง 5 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งถือเป็นค่าเหนื่อยแพงที่สุดของนักเตะพรีเมียร์ ลีก

แต่ มูรินโญ่ กลับไม่สามารถทำให้นักเตะทั้งหมดที่ซื้อมาร่วมทีม โชว์ฟอร์มให้คุ้มกับค่าตัวได้!

บอร์ดบริหาร ไร้วิสัยทัศน์?

ในขณะที่ แฟนบอล ปีศาจแดง มัวแต่โทษบอร์ดบริหารในเรื่องที่ไม่ยอมอนุมัติงบประมาณให้ มูรินโญ่ ซื้อนักเตะมาเสริมทีม

แต่ความผิดพลาดอันใหญ่หลวงกว่านั้นของบอร์ดชุดนี้ที่หลายคนกลับมองข้ามไป น่าจะเป็นการที่พวกเขาไม่สามารถเฟ้นหาคนที่ “ใช่” มาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมต่อจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้มากกว่า

หลังจาก เซอร์ อเล็กซ์ วางมือจากตำแหน่งอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกฤดูกาล 2012–13 (ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์สมัยที่ 13 ของท่านเซอร์) ผู้จัดการทีมคนถัดมาอย่าง เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล ล้วนแต่ทำทีมได้อย่างน่าผิดหวัง และล่าสุดกับ โจเซ่ มูรินโญ่ เมื่อดูผลงานจนถึงตอนนี้ นานที่สุดเขาน่าจะอยู่คุมทีมจนจบฤดูกาลเท่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไม แกรี่ เนวิลล์ อดีตแบ็คขวาของทีมที่เคยคว้าแชมป์กับ แมนฯ ยูไนเต็ด มามากมายในยุคของเซอร์ อเล็กซ์ ถึงออกมาแสดงความเห็นว่า สถานกาณ์ของทีมที่ดูย่ำแย่ในตอนนี้ ไม่ควรจะไปโทษแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เขามองว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้อง “รีเซ็ต” กันใหม่ทั้งสโมสร!

ซึ่งในที่นี้ เนวิลล์ น่าจะหมายถึง การ “รีเซ็ต” บอร์ดบริหารชุดนี้ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยนั่นเอง

เพราะถ้าหากผู้บริหารของทีมยังมีวิธีการทำงานแบบเดิมๆ วิธีการคิดแบบเดิมๆ อย่างนี้ต่อไปแล้วล่ะก็

มีใครกล้ารับประกันหรือเปล่าว่า คนที่ถูกเลือกให้มาเป็นผู้จัดการทีมคนถัดไป จะเป็นคนที่ “ใช่” สำหรับ ทีมปีศาจแดง?

เครดิตภาพ : www.standard.co.uk

Copyright© Bsite.In