ยังคงเดินหน้าเก็บชนะชัยต่อไปสำหรับ หงส์แดง ลิเวอร์พูล โดยล่าสุดเปิดบ้านเอาชนะ ทอฟฟี่สีน้ำเงิน เอฟเวอร์ตัน ไปได้แบบสบายๆ 5-2

ถึงแม้ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะตัดสินใจโรเตชั่นนักเตะถึง 4 ตำแหน่ง ไล่ไปตั้งแต่ โอริกี้, ชากิรี่, มิลเนอร์ และ ลัลลน่า รวมถึงจำเป็นต้องใช้ อาเดรียน ผู้รักษาประตูมือสองลงมาเล่นแทน อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่ติดโทษแบน แต่ ลิเวอร์พูล ก็ยังสามารถถล่มทีมอริร่วมเมืองไปได้แบบสนุกเท้า

ด้วยสกอร์ที่ขาดลอย ทำให้เกมนี้เป็นเกมที่แฟนๆ ได้เชียร์แบบไม่ต้องลุ้นกันเหนื่อยเหมือนหลายๆ นัดก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม การที่ ลิเวอร์พูล ยังรักษาคลีทชีทไม่ได้ ทำให้ชัยชนะในเกมนี้ยังเป็นชัยชนะที่มีรอยตำหนิเล็กๆ อีกตามเคย

และต่อไปนี้คือ 20 ประเด็นที่เกิดขึ้นหลังเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่เมืองลิเวอร์พูล เป็นสีแดง!!!

1. ชัยชนะที่มีต่อเอฟเวอร์ตัน 5-2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ชุดนี้ไม่แพ้ใครในลีกสูงสุดเป็นนัดที่ 32 ติดต่อกัน (ชนะ 27 เสมอ 5 แพ้ 0) ทำลายสถิติของสโมสรในยุคที่ เคนนี่ เดลกลิช เป็นผู้จัดการทีมและไม่แพ้ใครในลีก 31 เกมติดต่อกันลงได้สำเร็จ

2. ลิเวอร์พูล ยืดสถิติไม่แพ้ใครในเกมพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์เป็นนัดที่ 48 ติดต่อกัน โดย 15 นัดล่าสุดที่ลงเล่นในบ้านพวกเขาชนะรวด!!!

3. เบ็ดเสร็จแล้ว ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในเกมพรีเมียร์ ลีกมาแล้วถึง 333 วัน ไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์มาแล้ว 953 วัน และไม่แพ้ใครที่แอนฟิลด์ในทุกรายการมาแล้ว 431 วัน

4. ลิเวอร์พูล ทำสถิติออกสตาร์ฤดูกาลดีที่สุดเทียบเท่ากับ สเปอร์ส (1960) และ แมนฯ ซิตี้ (2017) โดยตอนนี้ ลงเตะไป 15 นัด ชนะ 14 เสมอ 1 แพ้ 0

5. ชัยชนะเหนือเอฟเวอร์ตัน คือชัยชนะเกมที่ 100 ในพรีเมียร์ ลีกของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จากการคุมทีมลิเวอร์พูลมาทั้งหมด 159 เกม (ก่อนหน้านี้ เคนนี่ เดลกลิช ชนะเกมที่ 100 จากการคุมทีม 167 นัด)

6. นั่นทำให้ คล็อปป์ กลายเป็นผู้จัดการทีมที่เก็บชัยชนะครบ 100 เกมเร็วที่สุดรองจาก โจเซ่ มูรินโญ่ เพียงคนเดียว โดย มูรินโญ่ ชนะเกมที่ 100 จากการคุมทีม 142 นัด

7. ชัยชนะในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้นัดล่าสุด ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่เแพ้ให้กับ เอฟเวอร์ตัน เลยแม้แต่เกมเดียวใน 18 นัดหลังสุดที่พบกันในพรีเมียร์ ลีก (ชนะ 8 เสมอ 10 แพ้ 0)

8. นับตั้งแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาคุมทีม ลิเวอร์พูล ยังไม่แพ้ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้เลยแม้แต่นัดเดียว โดยเป็นการ ชนะ 6 เสมอ 3 แพ้ 0

9. ลิเวอร์พูล มีจำนวนเกมที่ชนะ (14 เกม) เท่ากับ แต้มที่ เอฟเวอร์ตัน เก็บได้ทั้งหมด (14 แต้ม) ณ ตอนนี้

10. สกอร์ 5-2 ในเกมกับ เอฟเวอร์ตัน เป็นการชนะเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ด้วยสกอร์สูงที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในรอบ 86 ปี

11. เกมนี้ ลิเวอร์พูล ยิงประตูได้ถึง 5 ลูก โดยมี มาเน่, โอริกี้, ชากิรี่ ลงเป็นสามประสานในแดนหน้า หากจำกันได้ ลิเวอร์พูล ยิงบาร์เซโลน่าได้ 4 ประตู โดยใช้สามคนดังกล่าวลงเล่นในแนวรุกเช่นกัน

12. นับตั้งแต่ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาคุมทีม ลิเวอร์พูล ยิงประตูได้ 5 ลูก+ ในเกมพรีเมียร์ ลีก มาแล้วทั้งหมด 11 นัด (เป็นรองเพียง แมนฯ ซิตี้ ที่ยิง 5 ลูก+ ไปแล้ว 16 นัด)

13. อาเดรียน ยังคงรักษาสถิติชนะทุกเกมในพรีเมียร์ ลีกในยามที่ลงสนามเป็นผู้รักษาประตูมือหนึ่งแทน อลิสซอน เบ็คเกอร์ โดย อาเดรียน ลงเป็นตัวจริงมาแล้ว 8 นัด และชนะรวด!

14. ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา 15 เกม ลิเวอร์พูล รักษาคลีทชีทได้เพียง 2 เกมเท่านั้น คือเกมที่พวกเขาบุกไปเอาชนะเบิร์นลี่ย์ 0-3 และ เชฟฯ ยูไนเต็ด 0-1 โดย 2 เกมดังกล่าว ผู้รักษาประตูคือ อาเดรียน

15. ผลงานของ ดิว็อค โอริกี้ ในเกมนี้ โอกาสยิงประตู 3 ครั้ง ยิงตรงกรอบ 2 ครั้ง และเป็น 2 ประตู โดยสองประตูที่ยิงได้ทำให้ โอริกี้ ทำไปแล้วคนเดียว 5 ประตู จากการลงสนามพบกับเอฟเวอร์ตัน 6 เกม โดยเขาเป็นนักเตะที่ยิงประตูได้ในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ได้มากทีสุดนับตั้งแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาคุมทีม

16. นอกจากนั้น สองประตูที่ยิงได้ในเกมนี้ ทำให้ โอริกี้ ยิงไปแล้วทั้งหมด 22 ประตู จากการลงสนามเป็นตัวจริงให้ ลิเวอร์พูล 50 เกม

17. ฟอร์มการเล่นของ ซาดิโอ มาเน่ ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเขายิงไปแล้ว 17 ประตู จาก 17 เกมล่าสุดที่ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมที่แอนฟิลด์

18. สำหรับ 2 แอสซิสต์ที่ มาเน่ ทำได้ในเกมนี้ เป็นการทำ 2 แอสซิสต์ได้ในเกมเดียวในพรีเมียร์ ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกมที่พบกับ วัตฟอร์ด เมื่อเดือนมีนาคม 2018

19. นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2018 เป็นต้นมา มาเน่ คือนักเตะที่ทำประตูเกมเหย้าในพรีเมียร์ ลีกได้มากที่สุด โดย มาเน่ ยิงประตูเกมในบ้านไปแล้วทั้งหมด 23 ลูก ตามมาด้วย เซร์จิโอ อเกวโร่ 20 ลูก และ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ 19 ลูก

20. นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ คือนักเตะที่ทำแอสซิต์มากที่สุดในพรีเมียร์ ลีก โดยเขาทำไปแอสซิสต์ไปแล้ว 18 ครั้ง (เฉพาะปี 2019 เทรนท์ ทำไปคนเดียวถึง 15 แอสซิสต์)

เกือบจะเป็นเกมที่แฟนๆ หงส์แดง เชียร์ทีมรักกันแบบสบายใจอยู่แล้วเชียว แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องหักมุมช่วงท้ายเกมจนทำให้ต้องลุ้นกันเหนื่อยอีกแล้วกว่าที่เก็บสามแต้มจาก ไบรท์ตัน ได้

แม้จะนำโด่งเป็นจ่าฝูงด้วยการมีแต้มนำห่าง แชมป์เก่า แมนฯ ซิตี้ อยู่ถึง 11 แต้มก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าพักหลังๆ มา กว่าที่ ลิเวอร์พูล จะเอาชนะคู่แข่งได้แต่ละนัด ทำเอาเหล่าสาวกต้องส่งแรงใจเชียร์กันอย่างหนักแทบทุกครั้งจริงๆ

อย่างเกมล่าสุดที่พบกับ ไบรท์ตัน ทั้งๆ ที่ออกนำไปก่อนถึง 2-0 ตั้งแต่ 25 นาทีแรก แต่ ลิเวอร์พูล ก็ยังเอาชนะคู่ต่อสู้แบบสบายๆ ไม่ได้ เพราะช่วงท้ายเกม อลิสซอน เบ็คเกอร์ ดันมาโดนใบแดงหลังจากออกมาใช้มือปัดบอลนอกกรอบเขตโทษ และเสียประตูตีไข่แตกให้กับทาง ไบรท์ตัน ทันทีหลังจากที่ เอเดรียน นายทวารมือสองถูกเปลี่ยนลงมาทำหน้าที่แทน

นอกจากนั้นแล้วยังมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง ต่อไปนี้คือ 15 ประเด็นเก็บตก หลังเกม ลิเวอร์พูล (ซึ่งเหลือ 10 คน) เชือด ไบรท์ตัน 2-1 ที่เรารวบรวมมาฝากกัน…

1. ลิเวอร์พูล เอาชนะ ไบรท์ตัน ได้ใน 8 นัดล่าสุดในการเจอกันทุกรายการ โดยยิงประตูได้ทั้งหมด 24 ลูก และเสียไป 6 ประตู

2. สกอร์ 2-1 เหมือนจะกลายเป็นสกอร์ยอดนิยมของ ลิเวอร์พูล ไปแล้วในฤดูกาลนี้ โดย 8 นัดล่าสุดในพรีเมียร์ ลีก พวกเขาเอาชนะคู่แข่งด้วยสกอร์นี้ถึง 6 เกม ไล่ตั้งแต่ ชนะ เชลซี, เลสเตอร์, สเปอร์ส, วิลล่า, พาเลซ และ ไบรท์ตัน

3. ลิเวอร์พูล ยืดสถิติไม่แพ้ใครที่แอนฟิลด์เป็น 47 นัดติดต่อกัน โดยเป็นการชนะ 37 เสมอ 10 แพ้ 0

4. เจอร์เก้น คล็อปป์ พาทีมชนะเกมในบ้าน 14 นัดรวด โดยสถิติชนะติดต่อกันมากที่สุดในแอนฟิลด์ที่สโมสรทำเอาไว้อยู่ที่ 21 นัด

5. ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในแอนฟิลด์ติดต่อกันมาเป็นนัดที่ 98 ในยามที่พวกเขาออกนำคู่แข่งไปก่อนหลังจบครึ่งแรก (ชนะ 89 เสมอ 9) โดยครั้งสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล กลายเป็นฝ่ายปราชัยทั้งๆ ที่ออกนำคู่ต่อสู้ไปก่อนในครึ่งแรก เกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2009 โดยแพ้ให้กับ อาร์เซน่อล 1-2

6. ลิเวอร์พูล ชุดนี้ทำสถิติไม่แพ้ใครในลีกสูงสุดติดต่อกันมาเป็นนัดที่ 31 (ชนะ 26 เสมอ 5) ซึ่งเทียบเท่ากับสถิติของสโมสรซึ่งเคยทำเอาไว้เมื่อเดือนเมษายน ปี 1987 ถึง มีนาคม ปี 1988 ในสมัยที่ เคนนี่ เดลกลิช เป็นผู้จัดการทีม

7. มีเพียงแค่สองทีมเท่านั้นนับตั้งแต่เริ่มต้นพรีเมียร์ ลีกที่ออกสตาร์ทฤดูกาลด้วยการเก็บได้ถึง 40 แต้ม จาก 14 เกมแรก นั่นคือ แมนฯ ซิตี้ ที่เคยทำได้เมื่อฤดูกาล 2017/18 และ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้

8. นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเฉพาะในพรีเมียร์ ลีก 52 เกมหลังสุด ลิเวอร์พูล เก็บได้ถึง 137 แต้ม จาก 156 แต้มเต็ม โดยเป็นการชนะ 43 เสมอ 8 และแพ้ไปแค่ 1 เกม ยิงไป 121 ลูก เสีย 34 ลูก

9. นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค คือกองหลังที่ทำประตูได้มากที่สุดในพรีเมียร์ ลีก โดยเขาทำไปแล้วทั้งหมด 7 ประตูด้วยกัน

10. โดยสองประตูจากลูกโหม่งของ ฟาน ไดจ์ค ในเกมนี้ ทำให้นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ได้ประตูจากเซ็ตพีซและจุดโทษไปแล้วถึง 40 ลูก มากที่สุดในพรีเมียร์ ลีก

11. เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลายเป็นผู้เล่นที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดในพรีเมียร์ ลีกนับตั้งแต่ปี 2019 โดย 2 แอสซิสต์ที่ทำได้ในเกมนี้เป็นแอสซิสต์ลูกที่ 13 และ 14 ของแบ็คขวาสเกาเซอร์คนนี้แล้ว ในขณะที่ แอนดี้ โรเบิร์ตัน ตามมาเป็นอันดับสองโดยทำไป 13 แอสซิสต์ (ดาบิด ซิลบา 11 แอสซิสต์, เดวิน เดอ บรอยน์ 11 แอสซิสต์)

12. หากนับเฉพาะฤดูกาลนี้ เทรนท์ กับ ร็อบโบ้ ทำไปแล้วคนละ 5 แอสซิสต์ เท่ากัน โดยนักเตะที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดขณะนี้คือ เดอ บรอยน์ 9 แอสซิสต์ และ ซน ฮึง มิน 6 แอสซิสต์

13. อลิสซอน เบ็คเกอร์ กลายเป็นผู้รักษาประตูของ ลิเวอร์พูล คนแรกที่โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม นับตั้งแต่ที่ อเล็กซานเดอร์ โดนี่ ถูกไล่ออกในเกมที่พบกับ แบล็คเบิร์น เมื่อเดือนเมษายน ปี 2012

14. อย่างไรก็ตาม การได้ใบแดงของ อลิสซอน ในเกมนี้ จะทำให้เขาถูกแบนในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้กับ เอฟเวอร์ตัน ที่แอนฟิลด์แค่ 1 นัดเท่านั้น เพราะเป็นใบแดงโดยตรงจากการเจตนาทำแฮนด์บอล แต่ไม่ใช่ใบแดงจากการทำฟาวล์อย่างรุนแรง

15. ลิเวอร์พูล รักษาคลีทชีทได้เพียง 1 เกม จาก 10 นัดล่าสุดในพรีเมียร์ ลีก โดยเกมสุดท้ายที่พวกเขาไม่เสียประตูให้คู่แข่งคือเกมที่บุกไปเอาชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด 0-1

เครดิตภาพ : Evening Standard

เป็นอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล เก็บสามแต้มแบบเอาตัวรอดไปได้อย่างหวุดหวิด ในเกมที่บุกไปเอาชนะ คริสตัล พาเลซ 2-1 …

เรียกว่าเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล เล่นไม่ได้ตามฟอร์มของตัวเอง แต่ก็ยังสามารถพลิกสถานการณ์กลายเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ในเกมที่น่าจะจบด้วยการเสมอกันร่อมรออยู่แล้ว

แน่นอนว่า นอกเหนือจากจะทำให้ ลิเวอร์พูล นำเป็นจ่าฝูงด้วยช่วงห่างคะแนนเท่าเดิม (นำ เลสเตอร์ 8 แต้ม และ นำ แมนฯ ซิตี้ 9 แต้ม) ชัยชนะในเกมนี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นซึ่งกลายเป็นสถิติใหม่ๆ มากมาย

และต่อไปนี้คือ 15 ประเด็นเก็บตก หลังเกม ลิเวอร์พูล บุกชนะ คริสตัล พาเลซ แบบโกงความตาย! (อีกแล้ว) ที่เรารวบรวมมาให้ได้อ่านกันแบบ เต็มอิ่ม จุใจ เช่นเคย

1. ลิเวอร์พูล ทำสถิติไม่แพ้ใครเป็นนัดที่ 30 ติดต่อกัน นับตั้งแต่เดือน มกราคม ปี 2019 เป็นต้นมา (ชนะ 25 เสมอ 5 แพ้ 0)

2. ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ ลีก มีอยู่เพียง 2 ทีมเท่านั้นที่ทำสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันได้มากกว่า ลิเวอร์พูล นั่นคือ อาร์เซน่อล (49 นัด ในฤดูกาล 2002/03) และ เชลซี (40 นัด ในฤดูกาล 2003/04)

3. ลิเวอร์พูล ทำสถิติออกสตาร์ท 13 เกมแรกในพรีเมียร์ ลีกดีที่สุดเทียบเท่า แมนฯ ซิตี้ เมื่อฤดูกาล 2017/18 โดยทั้งสองทีมเก็บไป 37 แต้ม จาก 39 แต้มเต็มเท่ากัน

4. นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วจนถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง โดยพวกเขา ชนะ 42 เสมอ 8 และแพ้ไปแค่ 1 เกม เก็บได้ถึง 134 แต้ม จาก 153 แต้มเต็ม

5. ใน 8 เกมล่าสุดเฉพาะพรีเมียร์ ลีก ลิเวอร์พูล เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยสกอร์ 2-1 ไปถึง 5 เกมด้วยกัน ไล่ตั้งแต่ ชนะ เชลซี, เลสเตอร์, สเปอร์ส, วิลล่า และ พาเลซ

6. ประตูขึ้นนำของ ซาดิโอ มาเน่ เป็นประตูที่ 8 แล้วที่เขายิง คริสตัล พาเลซ ได้ในชีวิตการค้าแข้ง

7. นอกจากนี้ ประตูดังกล่าวยังทำให้ มาเน่ กลายเป็นผู้เล่นคนที่สามของ ลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูใส่ทีมเดียวในเกมพรีเมียร์ ลีกได้ถึง 5 นัดติดต่อกัน โดยนักเตะสองคนที่ทำได้ก่อนหน้านี้คือ ไมเคิล โอเว่น (ยิง นิวคาสเซิล) และ หลุยส์ ซัวเรส (ยิง นอริช)

8. สรุปผลงานของ มาเน่ ตั้งแต่เปิดฤดูกาลนี้ ลงสนามในทุกรายการไป 18 เกม ยิง 12 ประตู และ ทำอีก 5 แอสซิสต์

9. เกมกับ คริสตัล พาเลซ เป็นการลงสนามในพรีเมียร์ ลีกนัดที่ 150 ของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ซึ่งเขาเป็นผู้ยิงประตูชัยให้กับทีมด้วยในเกมนี้

10. ประตูที่ ฟีร์มิโน่ ทำได้ถือเป็นการหยุดสถิติที่เขายิงใครไม่ได้เลยในรอบ 9 เกมจากทุกรายการ ซึ่งนี่คือประตูแรกของ ฟีร์มิโน่ จากโอกาสได้ยิงทั้งหมด 19 ครั้ง ในช่วง 9 เกมที่ผ่านมาดังกล่าว

11. สรุปผลงานของ ฟีร์มิโน่ ยิงไปแล้ว 4 ประตู และทำอีก 7 แอสซิสต์ ในการลงสนามทุกรายการให้กับ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นนี้

12. ลิเวอร์พูล ทำประตูในช่วงนาทีที่ 75+ ในฤดูกาลนี้ไปแล้วถึง 11 ลูก จากการลงเตะทุกรายการ

13. หากนับเฉพาะในพรีเมียร์ ลีก ลิเวอร์พูล ได้ประตูในช่วงนาทีที่ 75+ มาแล้ว 6 ลูก ไล่ไปตั้งแต่ ประตูของ มิลเนอร์ ที่ยิง เลสเตอร์ ในนาทีที่ 90+5 (ชนะ 2-1), ประตูของ ลัลลน่า ที่ยิง แมนฯ ยูไนเต็ด ในนาทีที่ 85 (เสมอ 1-1), ประตูของ ซาล่าห์ ที่ยิง สเปอร์ส ในนาทีที่ 75 (ชนะ 2-1), ประตูของ โรเบิร์ตสัน ที่โหม่ง แอสตัน วิลล่า ในนาทีที่ 87 (ชนะ 2-1), ประตูของ มาเน่ ที่ยิง แอสตัน วิลล่า ในนาทีที่ 90+4 (ชนะ 2-1) และล่าสุด ประตูของ ฟีร์มิโน่ ที่ยิง พาเลซ ในนาทีที่ 85 (ชนะ 2-1)

14. นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล คือทีมที่ได้ประตูจากลูกเซ็ตพีซและจุดโทษมากที่สุดในพรีเมียร์ ลีกถึง 38 ประตู

15. แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ทำไปแล้วคนเดียวถึง 16 แอสซิสต์ นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา ถ้านับเฉพาะในฤดูกาลนี้ที่ลงเล่นไป 13 นัด โรเบิร์ตสัน ทำไปแล้ว 5 แอสซิสต์ เป็นรองเพียง เควิน เดอ บรอยน์ ที่ตอนนี้ทำไป 9 แอสซิสต์