ได้รับความนิยมถล่มทลาย สำหรับละครมาแรงของช่อง 3 ได้แก่ “ทองเอก หมอยาท่าโฉลง” ที่ตอนนี้เรตติ้งพุ่งๆ ไปแล้วจ้า ล่าสุด ยังได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรติจากกระทรวงสาธารณสุข ในการส่งเสริมเผยแพร่และอนุรักษ์ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยสู่สาธารณะ ซึ่งได้รับมอบโดยตรงจาก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข
นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงละครทองเอก หมอยาท่าโฉลง ว่า ต้องชื่นชมละครเรื่องนี้ที่มีส่วนช่วยปลุกกระแสให้คนไทยสังคมไทยสนใจในเรื่องสมุนไพรและแพทย์ทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญยังแสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของภูมิปัญญาไทยและการแพทย์แผนไทย หมอแผนไทย รวมทั้งสมุนไพรของไทยด้วย
“ตรงนี้ทำให้พี่น้องประชาชน ได้รู้จักได้เข้าใจ และเชื่อมั่นคนที่เป็นหมอแผนไทยมากขึ้น ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ทางผู้จัดได้ทำมา ซึ่งละครก็ทำถูกต้องด้วยในแง่ของข้อมูลต่างๆ เพราะว่าทางผู้จัดก็ได้ท่าน อ.คมสัน ทินกร ณ อยุธยา นายแพทย์แผนไทย จากคลินิกการแพทย์แผนไทย มาเป็นที่ปรึกษาให้ ทำให้เชื่อมั่นในข้อมูลว่ามีความถูกต้อง ดังนั้น ก็อยากให้พี่น้องได้ติดตามกันเยอะๆ นะครับ”
เมื่อถามว่าภาครัฐจะสามารถนำกระแสตรงนี้มาต่อยอดได้อย่างไรบ้าง นพ.มารุต กล่าวว่า เราได้พูดคุยกับทางผู้จัด(ละคร) แล้วว่า ในส่วนของการแพทย์แผนไทยและเรื่องสมุนไพรนั้น ทางกรมฯ เราพร้อมสนับสนุนด้านข้อมูลต่างๆ นอกจากนี้ จากกระแสของละครเราก็จะนำมาต่อยอดเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียอีกทางด้วยเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับความรู้ความเข้าใจกว้างขวางมากขึ้น
“รู้สึกขอบคุณทางผู้จัดฯ ที่นำเสนอละครเรื่องนี้ออกมาและที่สำคัญคือทำได้อย่างถูกต้องอีก ทำให้ผลงานออกมาดูดีสนุกและมีสาระ ยิ่งทำให้เป็นละครแบบคอมเมอดี้หรือได้ดาราแม่เหล็กมาแสดง ก็ยิ่งเพิ่มอรรถรสให้ละครสนุกมากยิ่งขึ้น งานก็ออกมาดูดี ประชาชนก็ชื่นชอบ ก็ต้องขอขอบคุณมากๆ ครับ และขอให้พี่น้องได้ติดตามละครเรื่องนี้ต่อไปด้วยทุกวันพุธ พฤหัสบดี อย่าลืมติดตามนะครับ”
อีกด้านที่ถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย ได้แก่ “โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร” ก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าละครหมอยาช่วยปลุกชีพการแพทย์แผนไทยให้คึกคักมากขึ้นกว่าเดิม โดย เภสัชกรหญิง ผกากรอง ขวัญข้าว หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า ต้องขอชมละครเลยที่ทำออกมาแล้วทำให้มีคนสนใจด้านการแพทย์ไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง “การเจียดยาเป็นตำรับ” อย่างล่าสุดที่เราไปตลาดทองเอก หมอยา ท่าโฉลง ที่เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ซึ่งมีประชาชนเข้ามาถามเรื่องการเจียดยาเป็นตำรับอย่างมาก จากเดิมที่ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจเรื่องการเจียดยาตามเจ้าเรือนก็ทำให้มีความเข้าใจอย่างรวดเร็วมากขึ้น หรือแม้แต่สมุนไพร “รางจืด” ก็มีคนสอบถามกันเข้ามามากเช่นกัน ก็ถือว่าเป็นฟีดแบ็คที่เกิดขึ้นจากละคร ซึ่งจะเห็นได้ว่าละครสอดแทรกควารู้เรื่องสมุนไพรและแพทย์แผนไทยไว้ได้อย่างแนบเนียนกับเนื้อเรื่องเลย ซึ่งขนาดว่าเนียนไปกับเนื้อเรื่องก็ถือว่าเยอะมาก เก่งมากเลยที่ทำได้ขนาดนี้
“หรือแม้แต่ตอนที่นางเอกถามเรื่อง รสยา ก็มีประชาชนมาถามกันต่อว่ามันคืออะไร จริงๆ มันคืรสสมุนไพร ซึ่งมี 9 รสด้วยกัน แล้วนางเอกคงท่องเร็วไปคนก็ตามดูไม่ทันว่ามีรสอะไรบ้าง ก็มีคนเข้ามาถามกันเยอะเลย ก็จะมีคนโทรมาถามว่า เอ… รสอะไรบ้างนะ เราก็บางทีไม่มีเวลาดู ก็ต้องย้อนกลับไปดูเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ประชาชนถามมา ทำให้การแพทย์ไทยคึกคักมากขึ้น”
เภสัชกรหญิง ผกากรอง มองว่าช่วยจุดประกายให้ประชาชนสนใจในเรื่องสมุนไพรและการแพทย์ไทยมากขึ้น ดังนั้น ถ้าในอนาคตอาจจะทำเป็นซีรีส์ต่อๆ ออกมาอีกก็จะเป็นการดี เช่น ละครทองเอกฯ เป็นแนวพีเรียด ก็อาจจะเสนอเป็นภาคต่อก็ได้ เพราะปัจจุบันนี้สมุนไพรไทยเราก็มีการพัฒนาไปหลายผลิตภัณฑ์มากแล้ว มีทั้งที่มีส่งออกไปต่างประเทศด้วย รวมทั้งมีการนำเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาพัฒนาร่วมด้วย คือถ้าทำไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ประชาชนเห็นว่ามันมีพัฒนาและใช้ได้จริง
ซึ่งจากกระแสแรงของละครที่เกิดขึ้น ทาง รพ.อภัยภูเบศร ก็เล็งเห็นแนวทางสร้างกระแสต่อยอดจากตรงนี้ว่า เราจะใช้ประโยชน์จากกระแสของละคร โดยวันไหนที่คนพูดถึงสมุนไพรตัวนั้นตัวนี้ เราก็จะนำข้อมูลของสมุนไพรตัวนั้นมาเผยแพร่ให้กับประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างครบถ้วน เพราะบางทีละครอาจจะพูดไม่หมด หรือพูไม่ครบ ด้วยเวลาที่น้อยหรือการดำเนินเรื่องต้องพาไปต่อ เราก็จะนำความรู้หรือวิธีการใช้อย่างถูกต้องมา
นำเสนออย่างครบถ้วนมากขึ้น อย่างเช่นรางจืด เป็นสมุนไพรก็จริงแต่ก็ไม่ควรกินทุกวันนะ เราก็ต้องเสริมให้ประชาชนทราบ
เมื่อถามว่าจะให้คำแนะนำอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ เภสัชกรหญิง ผกากรอง กล่าวว่า คิดว่าก็ทำอยู่ดีอยู่แล้วนะ ก็คงไม่ต้องเสริมอะไร เพราะถ้าบางทีเราให้ข้อมูลมากเกินไป มันก็อาจจะขาดอรรถรสในการชม มันจะเหมือนเป็นการยัดเยียดเกินไป แต่เรื่องนี้เท่าที่ดูก็รู้สึกว่าบาลานซ์ได้ดีนะ เมื่อละครทำมาดีแล้วหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานทางวิชาการก็ต้องไปให้ความรู้เสริม เพราะว่าเราอยากให้ประชาชนได้ซึมซับเรื่องของสมุนไพรโดยที่ไม่รู้สึกว่าถูกยัดเหยียด เพราะอย่างนั้นก็ต้องมีทั้งความสนุกและก็สาระ แต่ว่าสาระจะมาตลอดหรือทั้งหมดเต็มๆ เลยก็คงไม่ได้”
“ที่ผ่านมามองว่าละครส่วนใหญ่ก็มักนำเสนอชีวิตของประชาชนทั่วไปมากกว่า แต่ว่าอาจจะมีละครไม่กี่เรื่องที่สะท้อนของคุณค่าบางสิ่งที่ดีต่อสังคม หรือที่แสดงถึงอัตลักษณ์หรือคุณค่าทางวัฒนธรรมของไทยไม่มากนัก แต่ถ้าสามารถทำละครให้ความรู้โดยใช้บันเทิงนำได้ก็เป็นเรื่องที่ดี ไม่ต้องถูกยัดเหยียด ไม่เหมือนเวลาที่มาพบหมอ หมอพูดเรื่องยาคนไข้จะเครียดมาก แต่พอดูละครคือมันให้ความรู้ไปพร้อมกับความสนุก มันไม่รู้สึกยัดเยียดจนเกินไป นอกจากนี้ก็คิดว่านักแสดงเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่เขาติดตามอยู่แล้วก็ได้ผลมาก ก็อยากจะฝากตรงนี้ไว้”
ด้านผู้จัดได้แก่ ชุดาภา จันทเขตต์ และ ก้อง ปิยะ เศวตพิกุล โดย ชุดาภา เป็นตัวแทนผู้จัด กล่าวถึงความสำเร็จของละครทองเอกฯ ว่า จริงๆ แล้วคนดูพร้อมที่จะดูละคร อยากดูละครที่มีสาระ และอยากจะได้ความรู้อยู่แล้วด้วย กับการทำละครเรื่องนี้และได้โล่จากกระทรวงสาธารณะสุขทางทีมผู้จัดก็รู้สึกภาคภูมิใจมาก
เมื่อถามถึงการทำรีเสิร์ชข้อมูลการแพทย์แผนไทยทำงานอย่างไร ชุดาภา กล่าวว่า จากการทำรีเสิร์จกับน้องทีมงานเราก็ไปเอามาจากหลายที่มาก เช่น วันโพธ์ หรือจากตรงโน้นตรงนี้ เพราะฉะนั้นการที่ประชาชนจะไปหาซื้อมาทำเองเลยมันไม่ควร แต่จะต้องไปพบแพทย์แผนไทยเลยดีกว่าเพื่อตรวจและวินิจฉัยอีกทีหนึ่ง
สำหรับแรงบันดาลใจที่มาทำเรื่องนี้นั้น ชุดาภา กล่าวว่า เป็นละครที่เขียนบทขึ้นใหม่เลย ไม่ได้มีเป็นนิยายมาก่อน โดยแรงบันดาลใจที่ทำมาจากความสนใจเรื่องแพทย์แผนไทยและสมุนไพรเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ และครั้งหนึ่งก็เคยป่วนด้วยโรคภูมิแพ้มานานรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย จนได้รักษาตามการแพทย์แผนไทยแล้วปรากฏว่าหายขาดก็ยิ่งทำให้มีความเชื่อถือและมั่นใจการแพทย์ด้านนี้อย่างมาก
“เลยเกิดความคิดว่า แล้วถ้าเรามาทำเป็นละครล่ะจะเป็นอย่างไร ซึ่งยังไม่มีใครมาเจาะลึกเรื่องพวกนี้เลย ถ้าเรานำเสนอออกมามันน่าจะเป็นอะไรที่เหมาะสมกับคนไทย กับภูมิปัญหาไทยมรดกของไทย มันน่าจะเหมาะสมกับคนไทยหรือภูมิปัญญาไทยนะ เพราะมันคือมรดกของไทย เราคิดว่ามันน่าภูมิใจและน่าสนใจมาก ก็เลยตัดสินใจที่จะทำ”
กับการที่ภาครัฐมาร่วมสนับสนุให้เกิดกระแสแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทยมากขึ้นรู้สึกอย่างไร ชุดาภา กล่าวว่า รู้สึกดีใจมาก เราก็อยากให้คนไทยตื่นตัวเรื่องนี้ เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นผลดีกับประเทศไทยมาก ถ้าประเทศไทยสามารถผลิตยาแล้วส่งออกได้ โดยทราบจากท่านรัฐมนตรีว่าประเทศเยอรมันนำเข้ายาไทยถึง 30% อย่างเยอรมัน ถ้าเราผลักดันตรงนี้ได้ก็อยากให้ไปไกลๆ มากยิ่งขึ้น
“เราควรพัฒนาต่อเนื่องและต่อยอดตรงนี้ไปเรื่อยๆ เอามาพัฒนาตำรับยาตรงนี้ต่อไป เอามาวิจัยตำรับเข้ามาวิจัยเรื่อยๆ ถ่ายทอดให้ประชาชนรู้ ดังนั้น ก็คิดว่าถ้าทำอย่างนี้ก็จะคงอยู่อย่างแน่นอน”
น่าภูมิใจที่คนบันเทิงหันมาทำงานในเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น และที่ดีไปกว่านั้นคือได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐที่เล็งเห็นความสำคัญตรงนี้ เป็นการผนึกกำลังทั้งรัฐและเอกชน ซึ่งจะเป็นสองประสานทำให้เกิดเรื่องราวดีๆ อื่นๆ ต่อไปอีก.
Copyright© Bsite.In