ยังคงเดินหน้าเก็บสามแต้มได้อย่างต่อเนื่องสำหรับ ลิเวอร์พูล กับเกมล่าสุดที่พวกเขาสามารถบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้กับลูกทีมของ โจเซ่ มูรินโญ่ ได้ถึงถิ่น

ชัยชนะในเกมนี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล ขยับทำแต้มทิ้งห่างอันดับสองอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ไกลออกไปอีกเพราะ ทีมจิ้งจอกสยาม ดันพลาดท่าแพ้คาบ้านให้กับทีมนักบุญ เซาธ์แฮมตัน 1-2 จากประตูชัยของ แดนนี่ อิงค์ส ซึ่งเป็นอดีตเด็กเก่าของทีมหงส์แดงนั่นเอง

ไปๆ มาๆ ทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล เก็บไปแล้วถึง 61 แต้ม จาก 21 นัด นำหน้า เลสเตอร์ ห่างเป็น 16 แต้ม แถมยังมีเกมอยู่ในมืออีกหนึ่งนัด

ด้วยฟอร์มอันร้อนแรงแบบนี้ นอกจากแต้มที่ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ แล้ว ลิเวอร์พูล ยังกลายเป็นทีมที่สร้างสถิติใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นแบบไม่หยุดไม่หย่อนอีกด้วย

และต่อไปนี้ คือ 14 ประเด็นที่เกิดขึ้น หลังเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเชือด ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ส ที่เรารวบรวมมาให้ได้อ่านกันแบบเต็มอิ่ม จุใจเช่นเคย…

1. ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ออกสตาร์ทดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีก ด้วยการเก็บไปแล้ว 61 คะแนน จาก 21 นัด โดยทำลายสถิติเดิมที่ แมนฯซิตี้ เคยเก็บได้ 59 แต้ม จาก 21 นัด เมื่อฤดูกาล 2017/2018

2. นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังเป็นทีมเดียวและทีมแรกในประวัติศาสตร์จาก 5 ลีกใหญ่ของยุโรปที่เก็บได้ 61 จาก 63 คะแนนเต็มอีกด้วย

3. ลิเวอร์พูล ทำสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันเป็นนัดที่ 38 โดยเป็นการชนะ 33 เสมอ 5 แพ้ 0 ยิง 90 เสีย 26 เก็บไปทั้งหมด 104 จาก 114 แต้มเต็ม

4. ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่สามที่สามารถยิงประตูได้ในพรีเมียร์ ลีก 30 นัดติดต่อกัน โดยที่ผ่านมาทีมที่ยิงประตูติดต่อกันได้มากที่สุดคือ อาร์เซน่อล 55 นัด (เมื่อพฤษภาคม 2001 – พฤศจิกายน 2002) ตามมาด้วย แมนฯ ยูไนเต็ด 36 นัด (ธันวาคม 2007 – พฤศจิกายน 2008)

5. นับตั้งแต่ที่บุกไปแพ้ให้กับ สเปอร์ส 1-4 ที่ เวมบลี่ย์ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2017 หลังจากนั้นเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล ลงเตะในพรีเมียร์ ลีกไป 88 นัด ชนะ 68 เสมอ 16 แพ้ 4 เก็บไปทั้งหมด 220 จาก 264 แต้มเต็ม

6. นอกจากนั้น สเปอร์ส ยังเอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้เพียงแค่เกมเดียวจากการพบกันในพรีเมียร์ ลีก 15 นัดล่าสุด (เสมอ 4 แพ้ไปถึง 10 เกม)

7. การพ่ายแพ้ของ สเปอร์ส ในนัดนี้ ทำให้ โจเซ่ มูรินโญ่ เอาชนะ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้เพียงสองครั้งเท่านั้นในการคุมทีมมาพบกัน 10 เกมล่าสุด

8. และถ้านับเฉพาะการเจอกันในพรีเมียร์ ลีก ทั้งคู่คุมทีมเจอกันทั้งหมด 7 นัด มูรินโญ่ เอาชนะ คล็อปป์ ได้แค่ครั้งเดียว แพ้ไป 3 เสมออีก 3

9. ที่ผ่านมามีผู้จัดการทีมพรีเมียร์ ลีกเพียงสามคนเท่านั้นที่คุมทีมไม่แพ้ใครเลยในหนึ่งปีรอบปฎิทิน นั่นคือ อาร์แซน เวนเกอร์, โจเซ่ มูรินโญ่ และ เจอร์เก้น คล็อปป์ โดยเป็น คล็อปป์ ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล มีเปอร์เซ็นต์การชนะสูงที่สุดถึง 87% (ชนะ 33 จาก 38 เกม) ตามมาด้วย มูรินโญ่ 82% (ชนะ 32 จาก 39 เกม) และ เวนเกอร์ 68% (ชนะ 26 จาก 38 เกม)

10. ประตูชัยในเกมนี้ของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ คือประตูที่ 5 ของเขาจาก 6 เกมล่าสุดที่ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล

11. เฉพาะในพรีเมียร์ ลีก ฟีร์มิโน่ ทำประตูรวมไปแล้วทั้งหมด 7 ลูก และ 4 แอสซิสต์ โดยประตูทั้ง 7 ลูกดังกล่าว เป็นการยิงประตูเกมนอกบ้านทั้งหมด

12. แอสซิสต์ของ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ในเกมนี้ ทำให้เขามีส่วนร่วมการทำประตูในเกมที่เผชิญหน้ากับทีมท็อป 6 ไปแล้วทั้งหมด 6 ลูก ไล่ไปตั้งแต่ ยิงอาร์เซน่อล 2 ลูก, 1 แอสซิสต์ในเกมพบเชลซี, ยิงสเปอร์ส 1 ลูก, ยิงแมนฯ ซิตี้ 1 ลูก และ 1 แอสซิสต์ในเกมพบสเปอร์สนัดล่าสุด

13. ลิเวอร์พูล เก็บคลีทชีทในพรีเมียร์ ลีก 6 นัดติดต่อกันได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2006 โดย 6 เกมดังกล่าวได้แก่ ชนะ บอร์นมัธ 3-0, ชนะ วัตฟอร์ด 2-0, ชนะ เลสเตอร์ 4-0, ชนะ วูล์ฟส์ 1-0, ชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด 2-0 และชนะสเปอร์ส 1-0

14. อลิสซอน เบ็คเกอร์ เสียไปแค่ 2 ประตูจากการลงเป็นนายทวารตัวจริง 11 นัดล่าสุดในทุกรายการ โดยประตูสุดท้ายที่เสียคือเกมแชมป์เปี้ยนส์ ลีกที่เสมอกับนาโปลีในแอนฟิลด์ไป 1-1

เรียกได้ว่าทำให้แฟนๆ หงส์แดง ทุกคน อิ่มอก อิ่มใจ ในช่วงคริสต์มาสต่อเนื่องมาจนถึงช่วงวันขึ้นปีใหม่กันเลยทีเดียว

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า ลิเวอร์พูล ยังคงโชว์ฟอร์มร้อนแรงแบบใครหน้าไหนก็ฉุดไม่อยู่ เป็นทีมเดียวที่เก็บ 9 คะแนนเต็ม จาก 3 เกมในช่วงโปรแกรมสุดหฤโหดได้สำเร็จ

โดยเกมล่าสุด พวกเขาเปิดบ้านเอาชนะทีมน้องใหม่อย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ไปได้แบบสบายๆ 2-0 ทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ยังคงรักษาความห่างของคะแนนกับรองจ่าฝูง เลสเตอร์ ไว้ที่ 13 แต้ม และลงเตะน้อยกว่า 1 นัดเช่นเดิม

ชัยชนะที่ได้มาอย่างต่อเนื่องอีกนัด ทำให้ ลิเวอร์พูล ยังคงเดินหน้าสร้างสถิติใหม่ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

และต่อไปนี้คือ 20 ประเด็น ที่เกิดขึ้น หลังจากที่ ลิเวอร์พูล เก็บสามแต้มประเดิมปี 2020 ซึ่งเรารวบรวมมาฝากให้ได้อ่านกันแบบเต็มอิ่ม จุใจเช่นเคย

1. ลิเวอร์พูล ยืดสถิติไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์ เป็นนัดที่ 51 ติดต่อกัน โดยเป็นการชนะ 41 เสมอ 10 แพ้ 0 ยิงไป 129 ประตู

2. โดยตอนนี้ ลิเวอร์พูล คือทีมที่มีสถิติไร้พ่ายในบ้านยาวนานที่สุดของ 5 ลีกใหญ่ในยุโรป ลิเวอร์พูล 51 นัด, ยูเวนตุส 29 นัด, บาร์เซโลน่า 21 นัด, ลีลล์ 14 นัด

3. ชัยชนะเหนือ เชฟฯ ยูไนเต็ด ทำให้ ลิเวอร์พูล ไร้พ่ายในพรีเมียร์ ลีก ครบ 1 ปีเต็ม โดยนัดสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล แพ้ คือการบุกไปพ่ายให้กับ แมนฯ ซิตี้ 1-2 เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2019

4. หลังจากนั้นเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครเลยในพรีเมียร์ ลีก 37 นัดติดต่อกัน โดยตอนนี้มีเพียงสองทีมที่ทำสถิติไร้พ่ายติดต่อกันได้นานกว่านั่นคือ เชลซี 40 นัด และ อาร์เซน่อล 49 นัด

5. นับตั้งแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม ลิเวอร์พูล ลงเตะกับทีมน้องใหม่ (ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ ลีก) ที่แอนฟิลด์มาแล้ว 12 นัด และเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด 12 นัด โดยสกอร์รวมทุกนัดคือ 35 ประตูต่อ 4

6. ลิเวอร์พูล ทำประตูได้ในพรีเมียร์ ลีกติดต่อกันมาเป็นนัดที่ 29 ก่อนหน้ามีเพียงสองทีมเท่านั้นที่ยิงประตูในเกมพรีเมียร์ ลีกได้ติดต่อกันนานกว่านั่นคือ อาร์เซน่อล 55 นัด (ทำไว้ช่วงปี 2001 – 2002) และ แมนฯ ยูไนเต็ด 36 นัด (ทำไว้ช่วงปี 2007 – 2008)

7. โดย ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครเป็นนัดที่ 65 ติดต่อกันในยามที่เป็นฝ่ายได้ประตูออกนำไปก่อนในครึ่งแรก

8. ลิเวอร์พูล ได้ประตูแรกในปี 2020 ที่แอนฟิลด์ จาก โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ โดย ผลงาน 1 ประตู 1 แอสซิสต์ ในเกมนี้ ทำให้เขายิงรวมไปแล้วทั้งหมด 37 ประตู และ 10 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 50 นัดล่าสุดในแอนฟิลด์

9. ซาล่าห์ ยิงประตูใส่ทีมคู่แข่งที่พบกับ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ ลีกไปแล้ว 22 จาก 25 ทีม โดยสามทีมที่ ซาล่าห์ ยังยิงประตูไม่ได้คือ แมนฯ ยูไนเต็ด, สวอนซี และ แอสตัน วิลล่า

10. ซาล่าห์ กลายเป็นผู้เล่นคนที่สี่ที่ยิงประตูได้จากเท้าซ้าย 50 ลูกหรือมากกว่านั้นในการเล่นให้กับสโมสรเดียว โดยสามคนที่ทำได้ก่อนหน้านี้คือ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (ยิง 85 ลูกให้ ลิเวอร์พูล), ไรอัน กิ๊กส์ (ยิง 83 ลูกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด) และ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ (ยิง 63 ลูกให้ อาร์เซน่อล)

11. นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อเดือนมิถุนายน 2016 ซาดิโอ มาเน่ ยังไม่เคยแพ้ในเกมที่ลงเล่นที่แอนฟิลด์เลยแม้แต่นัดเดียว

12. นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา มาเน่ ยิงประตูในเกมพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์ไปแล้ว 25 ลูก เฉพาะใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปมีนักเตะเพียงสองคนเท่านั้นที่ยิงประตูในบ้านได้มากกว่ามาเน่นั่นคือ ลิโอเนล เมสซี่ (29 ลูก ที่ คัมป์ นู) และ คีเลี่ยน เอ็มบั๊ปเป้ (27 ลูก ที่ ปาร์ก เดส์ แปรงส์)

13. ประตูที่ทำได้ในเกมนี้ ทำให้ มาเน่ มีส่วนร่วมในการทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 100 ลูก จากการลงสนามทุกรายการไป 151 เกม โดยเป็นการยิง 74 ลูก และ 26 แอสซิสต์

14. แบ็คซ้าย-ขวาของ ลิเวอร์พูล ช่วยกันทำแอสซิสต์ไปแล้วทั้งหมด 37 ครั้ง โดย เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำไป 20 แอสซิสต์ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ทำไป 17 แอสซิสต์ มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งและสองของพรีเมียร์ ลีกนับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา

15. ลิเวอร์พูล เก็บคลีทชีทในพรีเมียร์ ลีกได้เป็นนัดที่ 5 นัดติด ไล่ตั้งแต่ ชนะ บอร์นมัธ 0-3, ชนะ วัตฟอร์ด 2-0, ชนะ เลสเตอร์ 0-4, ชนะ วูล์ฟส์ 1-0 และล่าสุดชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด 2-0 โดยทุกนัดเป็นการจับคู่กันของ โจ โกเมซ และ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค

16. ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2007 (ยุค ราฟา เบนิเตซ) ที่ ลิเวอร์พูล สามารถเก็บคลีทชีทในพรีเมียร์ ลีกได้ 5 เกมติดต่อกัน และหากไม่นับเกมลีกคัพที่พบกับแอสตัน วิลล่า ลิเวอร์พูล เสียไปแค่ประตูเดียวจาก 8 เกมล่าสุดในทุกรายการ (เสียในเกมที่เจอกับ มอนเตอร์เรย์ ในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก)

17. นัดที่พบกับ เชฟฯ ยูไนเต็ด คือการลงสนามนัดที่ 50 ในพรีเมียร์ ลีกของ อลิสซอน เบ็คเกอร์ โดยการไม่เสียประตูในเกมนี้ ทำให้เขาเก็บคลีทชีทได้เป็นนัดที่ 26 (และเสียไปแค่ 27 ลูก) โดยที่ผ่านมามีผู้รักษาประตูเพียงสองคนเท่านั้นที่ลงเล่นไป 50 นัดแล้วเก็บคลีทชีทได้มากกว่านั่นคือ ปีเตอร์ เช็ค (33 คลีทชีท) และ เปเป้ เรน่า (28 คลีทชีท)

18. สถิติที่น่าทึ่งอีกอย่างที่เกิดขึ้นในเกมชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด ก็คือ เกมนี้ ลิเวอร์พูล ผ่านบอลรวมกันมากถึง 969 ครั้ง ซึ่งถือเป็นการผ่านบอลในหนึ่งเกมที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีก

19. นอกจากนั้น ในเกมนี้ ลิเวอร์พูล ผ่านบอลสำเร็จไปทั้งหมด 874 ครั้ง มากเป็นอันดับสี่ในเกมพรีเมียร์ ลีกหนึ่งเกม โดย 4 อันดับ เกมที่มีการผ่านบอลสำเร็จมากที่สุดได้แก่
แมนฯ ซิตี้ ผ่านบอลสำเร็จ 942 ครั้ง นัดที่พบกับ สวอนซี (ปี 2018), แมนฯ ซิตี้ ผ่านบอลสำเร็จ 905 ครั้ง นัดที่พบกับ เอฟเวอร์ตัน (ปี 2018), แมนฯ ซิตี้ ผ่านบอลสำเร็จ 902 ครั้ง นัดที่พบกับ เชลซี (ปี 2018) และ ลิเวอร์พูล ผ่านบอลสำเร็จ 874 ครั้ง นัดที่พบกับ เชฟฯ ยูไนเต็ด (ปี 2020)

20. ลิเวอร์พูล เก็บไปแล้วถึง 58 แต้ม จาก 20 เกมในพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้ นับตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้ระบบชนะ 1 นัดได้ 3 คะแนน มีเพียง แมนฯ ซิตี้ เท่านั้นที่ทำได้ 58 แต้ม จาก 20 เกมเช่นกันในฤดูกาล 2017-18

เครดิตภาพ : Evening Standard

แม้จะเป็นชัยชนะอีกหนึ่งนัดที่ได้มาแบบ หืดจับ แต่การเก็บสามแต้มในเกมนัดสุดท้ายของปีที่แอนฟิลด์ได้สำเร็จ ก็น่าจะทำให้เหล่าสาวกหงส์แดงทั้งหลายได้ฉลองปีใหม่กันแบบมีความสุข…

จริงอยู่ครับว่า ลิเวอร์พูล มีโชคในเกมนัดนี้ที่ได้ประโยชน์จาก วีเออาร์ ไปเต็มๆ เพราะนอกจากจะได้ประตูจากลูกที่ผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกแฮนด์บอลไปแล้ว พวกเขายังไม่เสียประตูตีเสมอให้คู่แข่งเพราะ วีเออาร์ จับได้ว่านักเตะ วูล์ฟส์ จั๊กแร้ล้ำหน้า!!! อีกต่างหาก

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง เกมนัดนี้เป็นอีกเกมที่พิสูจน์ให้เห็นว่าความพิเศษอย่างหนึ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล มายืนอยู่ในตำแหน่ง จ่าฝูง อย่างสง่าผ่าเผยนั่นก็คือ การที่พวกเขามักจะหาทางเอาชนะคู่ต่อสู้จนได้ทุกครั้งแม้จะเป็นวันที่โชว์ฟอร์มได้ไม่ดีก็ตาม

ในภาพรวม วูล์ฟส์ วางแท็คติกมาสู้ได้ดีมากนะครับ เล่นเอา ลิเวอร์พูล แทบหาโอกาสเจาะเข้าไปทำประตูแบบจะๆ ไม่ได้เลย แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นครับว่า สุดท้ายแล้ว ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ได้ประตูขึ้นนำช่วงท้ายครึ่งแรก ซึ่งถ้าพูดอย่างเป็นกลางแล้วลูกนี้ชัดเจนว่าไม่แฮนด์บอล เพราะบอลโดนไหล่ ลัลลน่า กลายเป็นแอสซิสต์ให้ มาเน่ ยิงเข้าประตูไป

ส่วนประตูที่ วูล์ฟส์ ทำได้แล้วถูกจับเป็นลูกล้ำหน้า บอกตรงๆ ครับว่า น่าเห็นใจจริงๆ แต่ ลิเวอร์พูล ก็เคยถูกริบประตูคืนจากจังหวะแบบนี้มาแล้วในเกมที่ ฟีร์มิโน่ ยิงประตูในเกมบุกไปเยือนแอสตัน วิลล่า แล้วถูก วีเออาร์ จับว่าล้ำหน้าตรงหว่างแขนเช่นกัน

ทั้งหลายทั้งปวง สามแต้มที่ได้มาทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล เก็บไปแล้ว 55 แต้มจาก 19 นัด นำทีมอันดับสอง เลสเตอร์ 13 คะแนน และนำ แมนฯ ซิตี้ อันดับสาม 14 คะแนน แถมยังมีเกมอยู่ในมืออีกหนึ่งนัด

นอกจากนั้นแล้ว ชัยชนะในเกมนี้ยังทำให้ ลิเวอร์พูล สร้างสถิติใหม่ๆ ขึ้นมาอีกมากมายในรอบปี 2019 ที่ผ่านมา

และต่อไปนี้ คือ 19 ประเด็นเก็บตก หลังเกม ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเชือด วูล์ฟส์ ส่งท้ายปี 2019 ที่เรารวบรวมมาให้อ่านกันแบบ เต็มอิ่ม จุใจ เช่นเคย

1. หลังจากเปิดบ้านเอาชนะ วูล์ฟส์ ไปได้ 1-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครเลยในทุกรายการยามที่ลงเตะใน แอนฟิลด์ ตลอดปี 2019

2. ผลงานของ ลิเวอร์พูล เฉพาะในพรีเมียร์ ลีก ตลอดปี 2019 เตะ 37 เกม ชนะ 31 เสมอ 5 แพ้ 1 เก็บไป 98 จาก 111 คะแนนเต็ม ได้ 88 ประตู เสีย 28 ประตู และเก็บได้ 12 คลีทชีท

3. หากแยกผลงานของ ลิเวอร์พูล ตลอดปี 2019 เฉพาะในพรีเมียร์ ลีกออกมาให้เห็นในแต่ละเดือน จะเป็นดังนี้
– ม.ค. L (บุกไปแพ้ แมนฯ ซิตี้ 1-2 คือเกมเดียวที่แพ้ในปีที่ผ่าน) WWD
– ก.พ. DWDW
– มี.ค. DWWW
– เม.ย. WWWW
– พ.ค. WW

– ส.ค. WWWW
– ก.ย. WWW
– ต.ค. W D (บุกไปเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นเกมเดียวในฤดูกาลนี้ที่ไม่สามารถเก็บสามแต้มได้) W
– พ.ย. WWWW
– ธ.ค. WWWWW

4. โดย 98 แต้ม จาก 111 คะแนนเต็ม ที่ทำได้จากการลงเตะพรีเมียร์ ลีกไป 37 นัดตลอดปี 2019 ส่งให้ ลิเวอร์พูล ทำแต้มเฉลี่ย 2.65 ต่อเกม ซึ่งถือเป็นแต้มเฉลี่ยต่อเกมในการลงเตะหนึ่งปีที่มากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากที่ เชลซี เคยทำไว้ 2.66 ต่อเกม เมื่อปี 2005

5. ไม่เพียงเท่นนั้น เกม เชือด วูล์ฟส์ ในบ้านเกมนี้ ยังทำให้ ลิเวอร์พูล ยืดสถิติไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์ เป็นนัดที่ 50 ติดต่อกัน (ชนะ 40 เสมอ 10 แพ้ 0)

6. นอกจากนั้น ลิเวอร์พูล ยังทำสถิติชนะรวดเกมพรีเมียร์ ลีกเป็นนัดที่ 17 ในแอนฟิลด์ โดยที่ผ่านมามีแค่ แมนฯ ยูไนเต็ด (19 เกม เมื่อปี 2011) และ แมนฯ ซิตี้ (20 เกม เมื่อปี 2012) ที่ชนะเกมในบ้านติดต่อกันได้มากกว่า

7. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงสนามทุกรายการให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 350 ในเกมที่พบกับ วูล์ฟส์ ขณะที่ ซาดิโอ มาเน่ ลงสนามทุกรายการให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 150 ส่วน เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ลงสนามทุกรายการให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 100

8. หากนับเฉพาะแค่พรีเมียร์ ลีก เกมที่พบกับ วูล์ฟส์ คือการลงสนามให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 308 ของกัปตันเฮนโด้ โดยเขาคือนักเตะที่ลงเตะในพรีเมียร์ ลีกมากที่สุดในรอบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา

9. ประตูชัยในเกมนี้คือลูกที่ 10 ที่ ซาดิโอ มาเน่ ยิงได้ในพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้ ซึ่งนั่นทำให้ มาเน่ กลายเป็นนักเตะที่สามารถยิงประตูได้ 10 ลูกหรือมากกว่านั้น เป็นฤดูกาลที่ 6 ติดต่อกัน ไล่ตั้งแต่ 2014-15 ยิงไป 10 ลูก / 2015-16 ยิงไป 11 ลูก / 2016-17 ยิงไป 13 ลูก / 2017-18 ยิงไป 10 ลูก/ 2018-19 ยิงไป 22 ลูก / 2019-20 ยิงไปแล้ว 10 ลูก จาก 19 นัด

10. นอกจากนี้ มาเน่ ยังกลายเป็นนักเตะคนที่สองที่มีส่วนโดยตรงกับการทำประตูให้กับทีมได้ถึง 30 ลูกเฉพาะในพรีเมียร์ ลีก (24 ประตู 6 แอสซิสต์) โดยเป็นรองเพียง เจมี่ วาร์ดี้ ที่มีส่วนร่วมโดยตรงในการประตูไป 34 ลูก

11. เท่านั้นยังไม่พอ ปี 2019 ที่ผ่านมา มาเน่ คือนักเตะที่ยิงประตูได้ในเกมพรีเมียร์ ลีกที่เตะในบ้านได้มากที่สุด โดยเขายิงไปแล้ว 18 ลูก จากการลงเตะที่แอนฟิลด์ในปีนี้ไปทั้งหมด 19 เกม (ซาล่าห์, วาร์ดี้ และ อเกวโร่ ตามมาอันดับสองที่ 14 ลูกเท่ากัน)

12. เฉพาะฤดูกาลนี้ มาเน่ ยิงไปแล้ว 13 ประตู 8 แอสซิสต์ ในทุกรายการ โดย 6 เกมล่าสุด เขาทำไป 1 ประตู กับอีก 6 แอสซิสต์

13. แอสซิสต์ของ อดัม ลัลลน่า ในเกมนี้คือแอสซิสต์แรกในรอบ 2 ปีกับอีก 363 วันที่เขาทำให้ ลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ ลีก โดยแอสซิสต์สุดท้ายที่เคยทำได้ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในเกมพบกับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2016

14. เกมที่พบกับ วูล์ฟส์ คือเกมที่ 6 ใน 7 เกมล่าสุด ที่ ลิเวอร์พูล สามารถเก็บคลีทชีทได้สำเร็จ

15. สำหรับ 6 เกมดังกล่าวที่ ลิเวอร์พูล สามารถเก็บคลีทชีทได้คือเกมที่พบกับ บอร์นมัธ, ซัลซ์บวร์ก (แชมเปี้ยนส์ ลีก), วัตฟอร์ด, ฟลาเมงโก้ (สโมสรโลก), เลสเตอร์ และ วูล์ฟส์

16. โดย 4 จาก 6 นัดที่ ลิเวอร์พูล ไม่เสียประตูให้กับคู่แข่ง คือเกมที่ โจ โกเมซ ลงสนามเป็นตัวจริงในตำแหน่งเซ็นเตอร์คู่กับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค

17. อลิสซอน เบ็คเกอร์ ลงเฝ้าเสาให้ ลิเวอร์พูล เฉพาะในเกมพรีเมียร์ ลีกไปแล้วทั้งหมด 48 นัด ช่วยให้ทีมเก็บคลีทชีทได้ 24 นัด และเสียประตูไปแค่ 27 ลูก

18. เกมที่บุกมาแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ถือเป็นการแพ้เกมนอกบ้านเกมแรกใน 8 นัดล่าสุดของ วูล์ฟส์ (ชนะ 3 เสมอ 4 แพ้ 1) รวมถึงเกมนี้ยังเป็นเกมนอกบ้านเกมแรกที่พวกเขายิงประตูไม่ได้นับตั้งแต่ที่พวกเขาบุกไปเสมอกับ เลสเตอร์ 0-0 ในเกมเปิดฤดูกาล

19. นอกจากนี้ วูล์ฟส์ ยังแพ้เป็นนัดที่ 6 จากการลงเตะกับ ลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ ลีก โดยพวกเขายิงได้แค่ประตูเดียว และเสียไปถึง 13 ประตู

เครดิตภาพ : Evening Standard

แม้ก่อนเกมมีการคาดหมายกันว่า นี่จะเป็นอีกหนึ่งเกมที่ จ่าฝูง ลิเวอร์พูล มีโอกาสสะดุดทำแต้มหล่นมากที่สุด…

แต่สุดท้าย เหล่าบรรดากองแช่งทั้งหลายก็ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน เมื่อลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ บุกไปสอนบอล ทีมจิ้งจอกสยาม เลสเตอร์ ชนิดที่ต้องใช้คำว่า ‘สู้กันไม่ได้’

สามแต้มที่ได้เพิ่มมาในเกมนี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล ขยับหนี เลสเตอร์ รองจ่าฝูงห่างออกไปเป็น 13 แต้ม และเตะน้อยกว่า 1 นัด และทิ้งห่าง แชมป์เก่า แมนฯ ซิตี้ ที่เตะเท่ากันไปเป็น 14 แต้ม

โดยชัยชนะด้วยสกอร์ห่างถึง 0-4 ว่ากันว่า นี่คือหนึ่งในเกมที่ ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลมาเลยทีเดียว

และต่อไปนี้ คือ 15 ประเด็นเก็บตก หลัง ลิเวอร์พูล บุกไปถล่ม เลสเตอร์ ถึงถิ่นแบบขาดลอย…

1. ชัยชนะเหนือ เลสเตอร์ 0-4 ทำให้ ลิเวอร์พูล ทำสถิติไม่แพ้ใครในลีกติดต่อกันเป็นนัดที่ 35

2. ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะ 26 (เสมอ 1) จาก 27 นัดล่าสุดในพรีเมียร์ ลีก เก็บได้ 79 แต้ม จาก 81 แต้มเต็ม

3. เฉพาะในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะ 17 จาก 18 เกมที่ลงสนาม เก็บไปแล้ว 52 จาก 54 แต้มเต็ม โดยนับตั้งแต่บุกไปเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ คว้าชัยมาติดต่อกัน 9 นัดรวด

4. เกมชนะ เลสเตอร์ 0-4 ทำให้ ลิเวอร์พูล สามารถบุกไปเอาชนะ ทีมจิ้งจอกสยามได้ 3 ฤดูกาลติดต่อกันได้เป็นครั้งแรก

5. นอกจากนั้น เกมที่บุกชนะ เลสเตอร์ นัดล่าสุด ทำให้ ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เก็บชัยชนะในเกมบ็อกซิ่งเดย์ได้ 5 ปีติดต่อกัน ไล่ตั้งแต่ ชนะ เลสเตอร์ 1-0 (2015 เหย้า), ชนะ สโต๊ค ซิตี้ 4-1 (2016 เหย้า), ชนะ สวอนซี 5-0 (2017 เหย้า), ชนะ นิวคาสเซิ่ล 4-0 (2018 เหย้า) และ ชนะ เลสเตอร์ 4-0 (2019 เยือน)

6. สองประตูของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ในเกมนี้ ทำให้เขายิงไปแล้ว 4 ลูก จากการลงสนาม 3 เกมล่าสุดในทุกรายการ

7. โดยประตูที่สองที่บ็อบบี้ยิงใส่เลสเตอร์ในเกมนี้ คือประตูที่ 500 ของ ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์

8. เจมส์ มิลเนอร์ ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล จากลูกจุดโทษไปแล้วคนเดียว 13 ลูก จากการรับหน้าที่เป็นผู้สังหารไปทั้งหมด 14 ครั้ง

9. นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ คือนักเตะที่ทำแอสซิต์มากที่สุดในพรีเมียร์ ลีก โดยเขาทำไปแล้ว 20 แอสซิสต์ หากนับเฉพาะในฤดูกาลนี้ เทรนท์ ทำไปแล้ว 8 แอสซิสต์ เป็นรองเพียง เควิน เดอ บรอยน์ ที่ทำไป 10 แอสซิสต์ คนเดียวเท่านั้น

10. ฤดูกาลนี้ โจ โกเมซ และ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มีโอกาสได้ยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กันไปแล้ว 5 นัด และทีมเก็บคลีทชีทได้ทั้งหมด 5 นัด

11. ขณะที่ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เก็บคลีทชีทได้ 5 จาก 6 นัดล่าสุดที่ลงสนาม โดยเสียไปแค่ 1 ประตูเท่านั้น

12. ในเกมนี้ เจมี่ วาร์ดี้ ยิงไม่ตรงกรอบเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เขาคือดาวซัลโวของพรีเมียร์ ลีก ณ ตอนนี้ โดยยิงไปแล้วคนเดียว 17 ลูก จากการลงสนาม 19 เกม

13. โดย วาร์ดี้ ยิงประตูไม่ได้เป็นนัดที่ 8 ติดต่อกันในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค

14. นับตั้งแต่ที่ แมนฯ ซิตี้ เคยเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ 6-1 เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2011 เกมระหว่าง เลสเตอร์ กับ ลิเวอร์พูล ถือเป็นเกมเจอกันระหว่างทีมระดับท๊อป 2 ซึ่งผลการแข่งขันที่ออกมามีสกอร์ขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีก

15. โดยทั้งๆ ที่ เลสเตอร์ เพิ่งจะเสียประตูจากเกมที่เล่นในบ้านไปเพียง 5 ลูกเท่านั้น แต่พวกเขากลับเสียประตูในเกมที่พบกับ ลิเวอร์พูล เกมนี้เกมเดียวไปถึง 4 ลูก

เครดิตภาพ : Evening Standard

ชื่นมื่นกันไปตามๆ กันสำหรับสาวกหงส์แดง เมื่อได้เห็นทีมรักของตัวเองได้ชูถ้วยฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง…

ถึงแม้เกมนัดชิงชนะเลิศของฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ จะต้องลากยาวกันไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นการเหนื่อยที่คุ้มค่าสุดๆ สำหรับ ลิเวอร์พูล

เมื่อ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ เป็นผู้ยิงประตูชัยให้ทีมบดเอาชนะ ฟลาเมงโก้ ทีมตัวแทนจากทวีปอเมริกาใต้ไปได้ 1-0 คว้าแชมป์สโมสรโลกไปครองได้สำเร็จ

และต่อไปนี้คือ 10 ประเด็นเก็บตก หลัง ลิเวอร์พูล ก้าวขึ้นไปเป็น Champions of the World！

1. ลิเวอร์พูล คือทีมจากอังกฤษทีมแรกที่เป็น ทริปเปิ้ลแชมป์ จากการได้ถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก, ซูเปอร์ คัพ และ ฟุตบอลสโมสรโลก ในปีเดียวกัน

2. นี่คือการคว้าแชมป์สโมสรโลก (ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ) ครั้งแรกในรอบ 127 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูล

3. เจอร์เก้น คล็อปป์ กลายเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลคนแรกที่พาทีมคว้าแชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ได้สำเร็จ

4. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คือกัปตันทีมลิเวอร์พูลคนแรก (รวมถึงเป็นกัปตันทีมในพรีเมียร์ ลีกคนแรกด้วย) ที่ได้ชูถ้วย แชมป์เปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ในปีเดียวกัน

5. โดยแชมป์ที่ได้มา 3 รายการในปี 2019 ทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ได้ถ้วยรางวัลในรายการหลักมาครองรวมทั้งหมด 47 ถ้วย แซงหน้า แมนฯ ยูไนเต็ด ไปแล้ว 2 ถ้วย

สำหรับ โทรฟี่ 47 ใบที่ ลิเวอร์พูล คว้ามาประดับตู้ของสโมสรได้แก่…
– แชมป์ลีกสูงสุด 18 สมัย
– เอฟ เอ คัพ 7 สมัย
– ลีก คัพ 8 สมัย
– ยุโรเปี้ยน คัพ/แชมป์เปี้ยนส์ ลีก 6 สมัย
– ยูฟ่า คัพ 3 สมัย
– ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 4 สมัย
– ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย

6. โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ เป็นผู้ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูล ทั้งในรอบรองชนะเลิศที่เอาชนะ มอนเตอร์เรย์ และรอบชิงชนะเลิศที่พบกับ ฟลาเมงโก้

7. โดย ฟีร์มิโน่ กลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนแรกที่ยิงประตูให้กับทีมได้ในนัดชิงชนะเลิศรายการฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ

8. โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกของลิเวอร์พูลที่ได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเม้นต์นี้ไปครอง

9. สามประสานของทีมทั้ง ซาล่าห์, มาเน่ และ ฟีร์มิโน่ ต่างช่วยกันยิงประตูในนัดชิงทั้ง 3 รายการที่ ลิเวอร์พูล คว้าถ้วยมาครองได้ในปีนี้ ไล่ตั้งแต่ ซาล่าห์ ยิงประตูในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก, มาเน่ ยิงประตูในนัดชิงยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และ ฟีร์มิโน่ ยิงประตูในนัดชิงฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ

10. อลิสซอน เบ็คเกอร์ คือผู้รักษาประตูคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่รักษาคลีทชีทได้ทั้งในนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ โดย ฮูลิโอ ซีซาร์ คือนายทวารคนแรกที่เคยทำได้เมื่อปี 2010

เครดิตภาพ : Evening Standard

แม้สกอร์ที่ออกมาจะดูเหมือนว่าน่าจะเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะผู้มาเยือนอย่าง วัตฟอร์ด ได้แบบสบายๆ

แต่ถ้าใครได้ชมเกมนัดนี้คงจะรู้สึกเหมือนกันว่า นี่เป็นอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล เก็บสามแต้มมาได้ทั้งๆ ที่ทีมเล่นได้ไม่ดีแบบที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม ชัยชนะในเกมนี้ทำให้ หงส์แดง ทำแต้มนำห่าง จิ้งจอกสยาม เลสเตอร์ ทีมรองจ่าฝูงที่ทำได้แค่เสมอกับ นอริช ในบ้าน ออกไปเป็น 10 แต้มแล้วเรียบร้อย

นอกจากนั้นแล้ว หลังจบเกมนี้ยังมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง ต่อไปนี้คือ 15 ประเด็นเก็บตก หลัง ลิเวอร์พูล เอาชนะ วัตฟอร์ด ไปได้ 2-0

1. ลิเวอร์พูล รักษาสถิติไม่แพ้ใครในเกมพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์เป็นนัดที่ 49 ติดต่อกัน

2. ลิเวอร์พูล ชนะรวดใน 16 นัดล่าสุดที่เล่นในแอนฟิลด์ โดยสถิติชนะติดต่อกันในบ้านยาวนานที่สุดซึ่งสโมสรเคยทำได้อยู่ที่ 21 นัด (ทำเอาไว้เมื่อเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี 1972)

3. ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ ลีกติดต่อกันมาเป็นนัดที่ 34 โดยเป็นการชนะ 29 เสมอ 5 แพ้ 0

4. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กลายเป็นนักเตะคนที่สี่ในประวัติศาสตร์สโมสรที่คว้าชัยชนะในเกมพรีเมียร์ ลีกครบ 150 นัด (จากการลงสนามไปทั้งหมด 255 เกม) โดยสามนักเตะลิเวอร์พูลที่ทำได้ก่อนหน้านี้คือ เจมี่ คาราเกอร์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ซามี่ ฮูเปีย

5. เกมชนะวัตฟอร์ด 2-0 เป็นเกมแรกของฤดูกาลนี้ที่ ลิเวอร์พูล รักษาคลีนชีทได้ในแอนฟิลด์

6. การไม่เสียประตูในเกมนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล เก็บคลีทชีทได้เป็นนัดที่สามติดต่อกัน ไล่ตั้งแต่ ชนะ บอร์นมัธ 0-3, ชนะ ซัลซ์บวร์ก 0-2 (แชมเปี้ยนส์ ลีก) และ ชนะ วัตฟอร์ด 2-0

7. โดยทั้งสามเกมที่ ลิเวอร์พูล เก็บคลีทชีทได้ดังกล่าว เป็นเกมที่ โจ โกเมซ มีโอกาสยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คคู่กับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค

8. สองประตูที่ทำได้ในเกมนี้ ทำให้ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ยิงประตูใส่ วัตฟอร์ด ในพรีเมียร์ ลีกไปแล้วคนเดียว 8 ลูก จาก 5 เกม

9. ซาล่าห์ ยิงไปแล้ว 4 ประตู ใน 3 เกมล่าสุด โดยยิง บอร์นมัธ, ซัลซ์บวร์ก นัดละลูก และ ยิง วัตฟอร์ด 2 ลูก

10. สำหรับ 3 ประตูล่าสุดที่ ซาล่าห์ ยิงได้ (ซัลซ์บวอร์ก 1 ลูก, วัตฟอร์ด 2 ลูก) เป็นประตูที่ยิงได้จากเท้าขวาล้วนๆ

11. โดยมีสถิติระบุว่า ในสองเกมล่าสุดที่ ซาล่าห์ ลงสนาม เขามีโอกาสยิงทั้งหมด 16 ครั้ง เป็นการยิงประตูด้วยเท้าซ้าย(ข้างถนัด) 10 ครั้ง เข้ากรอบ 1 ครั้ง เป็น 0 ประตู และเป็นการยิงประตูด้วยเท้าขวา 6 ครั้ง เข้ากรอบ 5 ครั้ง เป็น 3 ประตู

12. โม ซาล่าห์ มีส่วนร่วมในกับการทำประตูไปแล้ว 85 ลูก จากการลงสนามให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ ลีก 88 นัด โดยเขายิงไป 63 ประตู และทำ 22 แอสซิสต์

13. หากนับเฉพาะการลงสนามทุกรายการในแอนฟิลด์ ซาล่าห์ มีส่วนร่วมกับการทำประตูไปทั้งหมด 57 ลูก จากการลงสนาม 52 เกม

14. นอกจากนั้น สองประตูในเกมนี้ทำให้ ซาล่าห์ ยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล รวมทุกรายการไปแล้ว 84 ลูก จาก 126 เกม ขณะที่ หลุยซ์ ซัวเรส ยิงไปทั้งหมด 82 ลูก จาก 133 เกม ส่วน เฟร์นานโด ตอร์เรส ยิงไป 81 ลูก จาก 142 เกม

15. สุดยอดสถิติของ ดิว็อค โอริกี้ ในเกมนัดนี้ หลังจากถูกเปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 88
– ผ่านบอลสำเร็จ 0 ครั้ง
– เลี้ยงหลบคู่แข่ง 0 ครั้ง
– เอาชนะในการปะทะ 0 ครั้ง
– ดวลกลางอากาศชนะ 0 ครั้ง
– โอกาสยิง 1 ครั้ง
– แอสซิสต์ 1 ครั้ง

เครดิตภาพ : Evening Standard

ยังคงเดินหน้าเก็บชนะชัยต่อไปสำหรับ หงส์แดง ลิเวอร์พูล โดยล่าสุดเปิดบ้านเอาชนะ ทอฟฟี่สีน้ำเงิน เอฟเวอร์ตัน ไปได้แบบสบายๆ 5-2

ถึงแม้ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะตัดสินใจโรเตชั่นนักเตะถึง 4 ตำแหน่ง ไล่ไปตั้งแต่ โอริกี้, ชากิรี่, มิลเนอร์ และ ลัลลน่า รวมถึงจำเป็นต้องใช้ อาเดรียน ผู้รักษาประตูมือสองลงมาเล่นแทน อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่ติดโทษแบน แต่ ลิเวอร์พูล ก็ยังสามารถถล่มทีมอริร่วมเมืองไปได้แบบสนุกเท้า

ด้วยสกอร์ที่ขาดลอย ทำให้เกมนี้เป็นเกมที่แฟนๆ ได้เชียร์แบบไม่ต้องลุ้นกันเหนื่อยเหมือนหลายๆ นัดก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม การที่ ลิเวอร์พูล ยังรักษาคลีทชีทไม่ได้ ทำให้ชัยชนะในเกมนี้ยังเป็นชัยชนะที่มีรอยตำหนิเล็กๆ อีกตามเคย

และต่อไปนี้คือ 20 ประเด็นที่เกิดขึ้นหลังเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่เมืองลิเวอร์พูล เป็นสีแดง!!!

1. ชัยชนะที่มีต่อเอฟเวอร์ตัน 5-2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ชุดนี้ไม่แพ้ใครในลีกสูงสุดเป็นนัดที่ 32 ติดต่อกัน (ชนะ 27 เสมอ 5 แพ้ 0) ทำลายสถิติของสโมสรในยุคที่ เคนนี่ เดลกลิช เป็นผู้จัดการทีมและไม่แพ้ใครในลีก 31 เกมติดต่อกันลงได้สำเร็จ

2. ลิเวอร์พูล ยืดสถิติไม่แพ้ใครในเกมพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์เป็นนัดที่ 48 ติดต่อกัน โดย 15 นัดล่าสุดที่ลงเล่นในบ้านพวกเขาชนะรวด!!!

3. เบ็ดเสร็จแล้ว ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในเกมพรีเมียร์ ลีกมาแล้วถึง 333 วัน ไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์มาแล้ว 953 วัน และไม่แพ้ใครที่แอนฟิลด์ในทุกรายการมาแล้ว 431 วัน

4. ลิเวอร์พูล ทำสถิติออกสตาร์ฤดูกาลดีที่สุดเทียบเท่ากับ สเปอร์ส (1960) และ แมนฯ ซิตี้ (2017) โดยตอนนี้ ลงเตะไป 15 นัด ชนะ 14 เสมอ 1 แพ้ 0

5. ชัยชนะเหนือเอฟเวอร์ตัน คือชัยชนะเกมที่ 100 ในพรีเมียร์ ลีกของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จากการคุมทีมลิเวอร์พูลมาทั้งหมด 159 เกม (ก่อนหน้านี้ เคนนี่ เดลกลิช ชนะเกมที่ 100 จากการคุมทีม 167 นัด)

6. นั่นทำให้ คล็อปป์ กลายเป็นผู้จัดการทีมที่เก็บชัยชนะครบ 100 เกมเร็วที่สุดรองจาก โจเซ่ มูรินโญ่ เพียงคนเดียว โดย มูรินโญ่ ชนะเกมที่ 100 จากการคุมทีม 142 นัด

7. ชัยชนะในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้นัดล่าสุด ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่เแพ้ให้กับ เอฟเวอร์ตัน เลยแม้แต่เกมเดียวใน 18 นัดหลังสุดที่พบกันในพรีเมียร์ ลีก (ชนะ 8 เสมอ 10 แพ้ 0)

8. นับตั้งแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาคุมทีม ลิเวอร์พูล ยังไม่แพ้ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้เลยแม้แต่นัดเดียว โดยเป็นการ ชนะ 6 เสมอ 3 แพ้ 0

9. ลิเวอร์พูล มีจำนวนเกมที่ชนะ (14 เกม) เท่ากับ แต้มที่ เอฟเวอร์ตัน เก็บได้ทั้งหมด (14 แต้ม) ณ ตอนนี้

10. สกอร์ 5-2 ในเกมกับ เอฟเวอร์ตัน เป็นการชนะเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ด้วยสกอร์สูงที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในรอบ 86 ปี

11. เกมนี้ ลิเวอร์พูล ยิงประตูได้ถึง 5 ลูก โดยมี มาเน่, โอริกี้, ชากิรี่ ลงเป็นสามประสานในแดนหน้า หากจำกันได้ ลิเวอร์พูล ยิงบาร์เซโลน่าได้ 4 ประตู โดยใช้สามคนดังกล่าวลงเล่นในแนวรุกเช่นกัน

12. นับตั้งแต่ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาคุมทีม ลิเวอร์พูล ยิงประตูได้ 5 ลูก+ ในเกมพรีเมียร์ ลีก มาแล้วทั้งหมด 11 นัด (เป็นรองเพียง แมนฯ ซิตี้ ที่ยิง 5 ลูก+ ไปแล้ว 16 นัด)

13. อาเดรียน ยังคงรักษาสถิติชนะทุกเกมในพรีเมียร์ ลีกในยามที่ลงสนามเป็นผู้รักษาประตูมือหนึ่งแทน อลิสซอน เบ็คเกอร์ โดย อาเดรียน ลงเป็นตัวจริงมาแล้ว 8 นัด และชนะรวด!

14. ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา 15 เกม ลิเวอร์พูล รักษาคลีทชีทได้เพียง 2 เกมเท่านั้น คือเกมที่พวกเขาบุกไปเอาชนะเบิร์นลี่ย์ 0-3 และ เชฟฯ ยูไนเต็ด 0-1 โดย 2 เกมดังกล่าว ผู้รักษาประตูคือ อาเดรียน

15. ผลงานของ ดิว็อค โอริกี้ ในเกมนี้ โอกาสยิงประตู 3 ครั้ง ยิงตรงกรอบ 2 ครั้ง และเป็น 2 ประตู โดยสองประตูที่ยิงได้ทำให้ โอริกี้ ทำไปแล้วคนเดียว 5 ประตู จากการลงสนามพบกับเอฟเวอร์ตัน 6 เกม โดยเขาเป็นนักเตะที่ยิงประตูได้ในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ได้มากทีสุดนับตั้งแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาคุมทีม

16. นอกจากนั้น สองประตูที่ยิงได้ในเกมนี้ ทำให้ โอริกี้ ยิงไปแล้วทั้งหมด 22 ประตู จากการลงสนามเป็นตัวจริงให้ ลิเวอร์พูล 50 เกม

17. ฟอร์มการเล่นของ ซาดิโอ มาเน่ ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเขายิงไปแล้ว 17 ประตู จาก 17 เกมล่าสุดที่ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมที่แอนฟิลด์

18. สำหรับ 2 แอสซิสต์ที่ มาเน่ ทำได้ในเกมนี้ เป็นการทำ 2 แอสซิสต์ได้ในเกมเดียวในพรีเมียร์ ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกมที่พบกับ วัตฟอร์ด เมื่อเดือนมีนาคม 2018

19. นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2018 เป็นต้นมา มาเน่ คือนักเตะที่ทำประตูเกมเหย้าในพรีเมียร์ ลีกได้มากที่สุด โดย มาเน่ ยิงประตูเกมในบ้านไปแล้วทั้งหมด 23 ลูก ตามมาด้วย เซร์จิโอ อเกวโร่ 20 ลูก และ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ 19 ลูก

20. นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วเป็นต้นมา เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ คือนักเตะที่ทำแอสซิต์มากที่สุดในพรีเมียร์ ลีก โดยเขาทำไปแอสซิสต์ไปแล้ว 18 ครั้ง (เฉพาะปี 2019 เทรนท์ ทำไปคนเดียวถึง 15 แอสซิสต์)