หลังจากการขับเคี่ยวแย่งแชมป์พรีเมียร์ ลีกกันระหว่าง แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล สิ้นสุดลง…

ขณะที่ ทีมเรือใบสีฟ้า ได้รับการสรรเสริญในฐานผู้ที่คว้าแชมป์ไปครอง ทางฝั่ง หงส์แดง ก็ได้รับเสียงยกย่องไม่น้อยเช่นกัน ในฐานะ ผู้ท้าชิง ที่สามารถต่อกรกับ โคตรทีมแห่งยุค ได้อย่างคู่คี่ สูสีจนถึงนัดสุดท้าย

อย่างที่ทุกคนทราบกันไปแล้วว่า ซีซั่นนี้ ลิเวอร์พูล เก็บได้ถึง 97 แต้ม แต่สุดท้ายกลับเป็นได้แค่รองแชมป์ที่ทำคะแนนนมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีก ซึ่งถ้าเป็นในหลายๆ ฤดูกาลก่อน แต้มขนาดนี้พวกเขาคงเป็นแชมป์ไปแล้วแบบสบายๆ

ดังนั้น การได้คะแนนสูงถึง 97 แต้ม แต่ไม่ได้แชมป์ เลยกลายเป็นประเด็นที่ผู้สันทัดกรณีด้านลูกหนังทั้งเมืองนอกและในเมืองไทยพากันออกมาวิเคราะห์ว่า อะไรคือสิ่งที่ ลิเวอร์พูล พลั้งพลาดไป

มีหลายคนมองตรงกันว่า ความจริง ลิเวอร์พูล ได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว การได้แต้มเฉียดร้อย แถมทั้งฤดูกาลแพ้แค่นัดเดียว (ในแม็ตช์ที่ไปเยือน แมนฯ ซิตี้) มันเป็นอะไรที่สุดๆ แล้วจริงๆ

เพียงแต่ว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พวกเขาไปไม่ถึงฝั่งฝัน เนื่องจากทำแต้มหล่นจากการเสมอเยอะเกินไป เพราะถึงจะแพ้แค่เกมเดียว แต่ก็หลุดเสมอไปถึง 7 เกมด้วยกัน

ส่วนทีมเจ้าของตำแหน่งทริปเปิ้ลแชมป์หมาดๆ อย่าง แมนฯ ซิตี้ แม้จะแพ้ไปถึง 4 นัด แต่พวกเขาหลุดเสมอไปแค่ 2 นัด เท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่แพ้ให้กับ นิวคาสเซิล ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็โชว์ฟอร์มสุดยอดด้วยการเดินหน้าคว้าชัยชนะ 14 นัดรวด เก็บ 42 แต้มเต็มๆ แบบไม่มีสะดุดเลย

ทีนี้เราลองมาดู 7 นัด ที่ ลิเวอร์พูล เสมอในฤดูกาลนี้กันบ้าง พวกเขาเสมอกับ เชลซี (1-1), แมนฯ ซิตี้ (0-0), อาร์เซน่อล (1-1), เลสเตอร์ (1-1), เวสต์แฮม (1-1), แมนฯ ยูไนเต็ด (0-0) และ เอฟเวอร์ตัน (0-0)

สำหรับการเสมอกับ เชลซี, แมนฯ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล ส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย เพราะเกมเสมอกับ เชลซี การได้ 1 แต้มกลับออกมาจากประตูตีเสมอของ สเตอริดจ์ ในนาทีที่ 89 ถือว่า กำไร

เกมเสมอกับ แมนฯ ซิตี้ ก็เป็นการเอาตัวรอดจากความพ่ายแพ้ได้แบบหวุดหวิดเพราะ มาห์เรซ ยิงจุดโทษช่วงท้ายเกมไม่เข้า ส่วนเกมเสมอกับ อาร์เซน่อล การแบ่งกันไปคนละแต้มในรูปเกมที่สูสีแบบนั้นก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว

ถ้าจะเสียหาย น่าจะเป็นอีก 4 เกมที่เสมอกับ เลสเตอร์, เวสต์แฮม, แมนฯ ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน มากกว่า เพราะเมื่อดูจากรูปเกมในภาพรวม ลิเวอร์พูล สมควรทำได้ดีกว่านั้น

เกมกับ เลสเตอร์ และ เวสต์แฮม เป็นฝ่าย ลิเวอร์พูล ที่ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน แต่ก็มาพลาดเสียประตูตีเสมอจากลูกตั้งเตะเหมือนกันทั้งสองเกม

ส่วนแม็ตช์ที่พบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน เป็นเกมเสมอแบบไร้สกอร์ทั้งสองเกมซึ่ง ลิเวอร์พูล เล่นได้เหนือกว่าแต่ไม่สามารถหาจุดเปลี่ยนในการเป็นผู้ชนะได้

มีแฟนๆ หลายคนออกมาบ่นเช่นกันกันว่า การทำแต้มหลุดมือจากการเสมอถึง 7 นัดนี่แหละ คือสาเหตุที่ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดแชมป์ปีนี้ไป เพราะหากเปลี่ยนผล เสมอ เป็น ชนะ แค่นัดใดนัดหนึ่ง ก็คงเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปแล้ว

แต่จริงๆ การคิดแบบนั้น ผมว่ามันก็ไม่ถูกซักทีเดียว เพราะถ้ายังจำกันได้ มีอยู่หลายเกมเหมือนกันที่ ลิเวอร์พูล ไม่น่าได้เลยซักแต้ม แต่ก็มีแต้ม เช่นเกมเสมอกับ เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ ที่พูดถึงไปแล้วข้างต้น

หรือบางนัดน่าจะได้แค่แต้มเดียว แต่กลับได้สามแต้มมาแบบโชคช่วย ชัดๆ เลยก็คือเกมในบ้านกับ เอฟเวอร์ตัน (ชนะ 1-0 จากประตูชัยของ โอริกี้ ในนาทีที่ 96) และ สเปอร์ส (ได้ประตูชนะ 2-1 ในนาทีสุดท้ายจากลูกทำเข้าประตูตัวเองของ อัลเดอร์ไวเรลด์)

ถ้าเกิดเอาแต้มที่ได้เพิ่มมาแบบไม่น่าได้ มาถัวๆ กับแต้มที่บอกว่าทำหล่นหายไป ผมว่ามันก็ยุติธรรมแล้วแหละ และทั้ง 97 แต้มที่ได้มาก็เป็นสิ่งที่คู่ควร และน่าภูมิใจมากๆ แล้ว

ฉะนั้น เลิกบ่น เลิกเสียดาย กันเถอะนะครับ ผมว่าเอาเวลาตรงนี้ไป ดิ่มด่ำ กับสิ่งดีๆ มากมายที่ทีมๆ นี้ได้มอบให้กับเรากันดีกว่า

อย่าลืมซิว่า ฤดูกาลนี้ของ ลิเวอร์พูล มันยังไม่จบซักหน่อย เพราะมี ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้เหล่าสาวกเดอะ ค็อปได้ลุ้นกันอีกถ้วย…

เครดิตภาพ : www.standard.co.uk
Copyright© Bsite.In

ได้บทสรุปกันไปแล้วเรียบร้อยสำหรับพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้ และเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ…

ส่วนทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ต้องบอกว่า ได้สู้อย่างเต็มที่ และทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างแบบสุดตัวแล้ว แม้จะเก็บได้ถึง 97 แต้ม แต่นั่นก็ยังทำให้พวกเขาเป็นได้เพียง รองแชมป์ ที่ทำคะแนนได้สูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีก

แน่นอนครับว่า แฟนหลายๆ คนคงจะรู้สึก เสียดาย เพราะทีมรักของเราอุตส่าห์ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังไปไม่ถึงตำแหน่งแชมป์

แต่เราจะไม่รู้สึก เสียใจ เลย ถ้ามองโลกในความเป็นจริง และให้ความเคารพกับผลงานที่สุดยอดยิ่งกว่าของ แมนฯ ซิตี้ ที่สามารถเก็บชัยชนะได้ 14 นัดรวด โดยไม่ทำแต้มหลุดมือเลยซักแต้มเดียว

เท่ากับว่า สองฤดูกาลที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาทีมเรือใบสีฟ้าผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก พวกเขาเก็บได้ถึง 198 แต้ม (ปีก่อน 100 แต้ม และ ปีนี้ 98 แต้ม) เลยนะครับ

ขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถพาทีมไปถึงฝั่งฝัน แต่ในแง่ของแต้มจากผลงานในฤดูกาลนี้ ปฎิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นการยกระดับตัวเองขึ้นมาแบบน่าชื่นใจจริงๆ

เมื่อปีที่แล้ว ลิเวอร์พูล จบที่อันดับ 4 โดยมี 75 แต้ม นั่นหมายความว่า ซีซั่นนี้พวกเขามีแต้มเพิ่มขึ้นมาจากซีซั่นก่อนถึง 22 คะแนน เลยทีเดียว

อย่างหนึ่งที่เราต้องไม่ลืมด้วยก็คือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก่อร่างสร้างทีมจนมาถึง ณ จุดนี้ได้ ด้วยงบซื้อขายนักเตะที่น้อยกว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เกือบ 4 เท่า!

โดยเฉพาะสองปีแรกที่ เป๊ป จัดการระดมเสริมทัพด้วยนักเตะชั้นยอดทั้ง อิลคาย กุนโดกัน, ลีรอย ซาเน่, จอห์น สโตนส์, เคลาดิโอ บราโว่, โนลิโต้, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชงโก้, กาเบรียล เฆซุส, เอแดร์ซอน, ไคล์ วอล์คเกอร์, เบนฌาแม็ง เมนดี้, ดานิโล่, อายเมริค ลาปอร์ต และ แบร์นาโด้ ซิลวา

ส่วน คล็อปป์ ได้นักเตะที่แม้แต่แฟนๆ หงส์แดง เองเห็นแล้วยังต้องร้อง โอ้โห! อย่าง มาร์โก้ กรูยิช, โจแอล มาติ๊ป, ลอริส คาริอุส, รักนาร์ คลาวาน และ อเล็กซ์ แมนนิงเกอร์

ก่อนที่ปีถัดมาถึงเริ่มคว้านักเตะที่ชื่อชั้นดูดีขึ้นมาบ้างไม่ว่าจะเป็น ซาดิโอ มาเน่, จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม, โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค

มิหนำซ้ำ ในขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทัพโดยไม่เสียนักเตะคนสำคัญของทีมออกไปเลย แต่ ลิเวอร์พูล กลับต้องเสียเพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ออกจากทีมไป และจนถึงป่านนี้ก็ยังหาตัวแทนไม่ได้เลย

แต่เราก็ไม่เคยได้ยิน คล็อปป์ ออกมาบ่นเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ซักแอะ แต่เขาค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ แก้ ค่อยๆ เสริม ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป จนทุกวันนี้แฟนๆ แทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า คูตินโญ่ คือใคร!

ทั้งนี้ก็ต้องให้เครดิต เป๊ป เช่นเดียวกันว่า เป็นกุนซือที่เก่งด้วย ใช้เงินเป็นด้วย เพราะนักเตะที่เขาดึงมาร่วมทีมเกือบทั้งหมดมีส่วนร่วมในการพาทีมคว้าแชมป์ลีกสองสมัยติดต่อกัน

อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาข้างต้นก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ชั่วโมงนี้หากเทียบกันแล้ว คุณภาพของนักเตะ แมนฯ ซิตี้ ยังเหนือกว่า ลิเวอร์พูล ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ไปได้ในท้ายที่สุด

เพราะฉะนั้น การที่ ลิเวอร์พูล หาญกล้าลุกขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ ลีกปีนี้กับ แมนฯ ซิตี้ ชนิดต้องลุ้นกันถึงนัดสุดท้าย จึงถือเป็นเรื่องที่ สุดยอด มากๆ แล้ว

นอกจาก 97 แต้มที่ได้มา ซึ่งถ้าเป็นหลายๆ ฤดูกาลก่อนหน้านี้คงทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ไปแล้ว ยังมีสิ่งที่เกิดขึ้นมากมายซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลงานอันยอดเยี่ยมของ ลิเวอร์พูล ทีมนี้

ไล่ไปตั้งแต่ การแพ้เพียงแค่เกมเดียวในพรีเมียร์ ลีกตลอดทั้งฤดูกาล และไม่แพ้ใครเลยในบ้านมาแล้วถึง 40 นัด

การที่ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กวาดทั้งรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ PFA และ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ ลีก

การที่มีนักเตะในทีมคว้าตำแหน่งดาวซัลโวร่วมกัน 2 คน นั่นคือ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ และ ซาดิโอ มาเน่ ที่ยิงไปทั้งหมด 22 ประตู เท่ากัน

การเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีก โดย อลิสซอน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูของทีมคว้ารางวัลถุงมือทองคำไปครอง ด้วยการรักษาคลีทชีทได้มากที่สุด 21 นัด

ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ พวกเขาเพิ่งจะทำให้ค่ำคืนยูโรเปี้ยนไนท์อันสุดแสนมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกครั้งที่แอนฟิลด์ในเกมถล่ม บาร์เซโลน่า 4-0 จนสามารถ พลิกนรก ผ่านเข้ารอบชิงฟุตบอลถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรปเป็นปีที่สองติดต่อกัน

ซึ่งนั่นทำให้ฤดูกาลนี้ของ ลิเวอร์พูล ยังไม่จบ เพราะหลังจากนี้ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังเหลือภารกิจอีก 1 นัดที่ มาดริด ให้แฟนๆ ได้ตามลุ้นตามเชียร์กันต่อ

และอย่างน้อยๆ นี่ก็เป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจกว่าทีมบางทีมที่ไม่เหลือถ้วยอะไรให้ลุ้นกับเขาแล้วตั้งเยอะ

หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง!!!

เครดิตภาพ : www.standard.co.uk
Copyright© Bsite.In

หลังจากผ่านนัดที่ 35 ตอนนี้ ลิเวอร์พูล เก็บคะแนนไปแล้วถึง 88 แต้ม

ในสัปดาห์เดียวกัน ยูเวนตุส คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา ไปแล้ว ด้วยการทำแต้ม 87 คะแนน

เช่นเดียวกับ ปารีส แซงต์ แชร์ก-แมง ก็คว้าแชมป์ ลีก เอิง แล้วเรียบร้อย โดยทำแต้มไป 84 คะแนน

ที่เอาคะแนนมาอ้างอิงตรงนี้ คือกำลังจะบอกว่า 88 คะแนน ที่ ลิเวอร์พูล มีอยู่ตอนนี้ มันเป็นคะแนนที่มากพอจะทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ในลีกประเทศอื่นไปแล้ว

หรือถ้าหากมองกันเฉพาะแค่ในพรีเมียร์ ลีก 88 คะแนนที่อยู่ในมือ ก็น่าจะทำให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ไปแล้วในหลายๆ ฤดูกาลที่ผ่านมา

เอาง่ายๆ ว่า เมื่อฤดูกาล 1998/99 ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ซีซั่นนั้น ทีมปีศาจแดง ได้แชมป์พรีเมียร์ ลีก โดยมีแค่ 79 แต้ม

หรือถ้าย้อนกลับไปตอนที่ ลิเวอร์พูล เข้าใกล้กับคำว่า แชมป์ ในฤดูกาล 2013/14 ปีนั้น เบรนแดน ร็อดเจอร์ส พาทีมได้อันดับสองด้วยคะแนน 84 แต้ม ส่วนทีมแชมป์อย่าง แมนฯ ซิตี้ ทำคะแนนได้ 86 แต้ม

สำหรับ 88 คะแนน ของ ลิเวอร์พูล ณ ตอนนี้ คือ แต้มที่พวกเขาทำได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร นับตั้งแต่ลีกสูงสุดของอังกฤษเปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ ลีก

โดย 3 แต้มล่าสุดที่ได้จากการบุกไปเอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ 0-2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ทำลายสถิติตัวเองที่เคยเก็บแต้มได้มากที่สุดในฤดูกาล 2008/09 ลงได้อีกด้วย

ในฤดูกาลนั้น ราฟา เบนิเตซ พา ลิเวอร์พูล จบอันดับสองด้วยคะแนน 86 แต้ม ซึ่งน้อยกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เป็นแชมป์ในปีนั้น 4 คะแนน

ถามว่า 88 คะแนน ในตอนนี้ บ่งบอกอะไรสำหรับ ลิเวอร์พูล ณ ปัจจุบัน…

แน่นอนที่สุดเลยก็คือ พัฒนาการของทีมที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ได้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม

ฤดูกาล 2015/16 คือปีแรกที่ คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม โดยรับช่วงต่อจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส (ที่ถูกปลดจากตำแหน่งหลังคุมทีมไปได้แค่ 8 นัด) ซีซั่นนั้น ลิเวอร์พูล ทำได้ 60 คะแนน จบอันดับที่ 8 และทีมได้เข้าชิงยูโรป้า ลีก

ฤดูกาล 2016/17 ปีแรกที่ คล็อปป์ คุมทีมแบบเต็มตัว ลิเวอร์พูล ทำแต้มได้ 76 คะแนน จบในอันดับที่ 4 ได้กลับไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมดั่งใจหวัง

ฤดูกาล 2017/18 คล็อปป์ พาทีมจบที่ 4 อีกครั้ง โดยทำแต้มไป 75 คะแนน พ่วงด้วยผลงานนำ ลิเวอร์พูล ทะลุถึงรอบชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

และมาถึงฤดูกาล 2018/19 อย่างที่เราเห็นอยู่ว่า คล็อปป์ ยกระดับ ลิเวอร์พูล ขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีกเต็มตัว โดยทำไปแล้ว 88 แต้ม แถมมีลุ้นถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง

จากเมื่อ 3-4 ปีก่อน ทีมซึ่งกำลังจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ ถูกชายที่ตั้งสมญานามให้ตัวเองว่า The Normal One ฉุดขึ้นมาจากเหวลึก ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เยียวยา หงส์ที่เคยบินหลงทิศตัวนี้ ให้กลายเป็นหงส์ที่บินสยายปีกด้วยความน่าเกรงขาม

หลังแพ้ให้กับ รีล มาดริด ในรอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปีก่อน แม้แต่แฟนบอล หงส์แดง หลายๆ คนยังไม่กล้าคิดว่าทีมรักของตัวเองจะทำผลงานในถ้วยนี้ได้ยอดเยี่ยมในระดับเดิม

แต่การก้าวเข้าสู่รอบรองฯ แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้งในปีนี้ มันคือการส่งสารให้ทุกคนรับรู้ว่า ตอนนี้ ลิเวอร์พูล กลับมาเป็น ขาใหญ่ กลับมาเป็น ขาประจำ บนเวทียุโรปแล้วเรียบร้อย

แซร์จิโอ คอนไซเซา ผู้จัดการทีม ปอร์โต้ ให้สัมภาษณ์หลังแพ้ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ 2-0 ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก เลกแรก ที่ แอนฟิลด์ ว่า หลายๆ จังหวะที่เกิดขึ้นในเกมนี้แสดงให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล เป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในโลก

ขณะที่ผลงานในพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้ คงไม่มีใครเชื่อ หากมีคนทำนายล่วงหน้าว่า ผ่านมา 35 นัด ลิเวอร์พูล จะเก็บได้ถึง 88 คะแนน นำเป็นจ่าฝูงโดยมีอันดับเหนือกว่า แมนฯ ซิตี้ (และต้องไม่ลืมว่า พวกเขามีโอกาสที่จะเก็บได้ถึง 97 แต้ม หากชนะรวดในอีกสามเกมที่เหลือ)

ด้วยผลงานอันไฉไลดังกล่าว ส่งให้ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นนี้ กลายเป็นทีมที่คู่ต่อสู้ให้ความยำเกรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดูได้จากบทสัมภาษณ์ของกุนซือหลายๆ คน ที่ออกมาพูดในท่วงทำนองเดียวกัน

อาทิเช่น เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่เผยความรู้สึกหลังพา เชลซี บุกมาแพ้ ลิเวอร์พูล 2-0 ว่า นี่คือเกมที่พวกเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของยุโรป ณ ตอนนี้

หรือในเกมล่าสุด แม้ นีล วอร์น็อค ผู้จัดการทีม คาร์ดิฟฟ์ จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับลูกจุดโทษในจังหวะที่ ซาล่าห์ ถูกทำฟาวล์ แต่เขาก็เอ่ยปากว่า ลิเวอร์พูล คือทีมที่ไม่มีจุดอ่อนเลย แถมทุกตำแหน่งในทีม ลิเวอร์พูล ชุดนี้ ล้วนแต่เป็นนักเตะระดับสุดยอด

ไม่เว้นแม้แต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ไม่รู้ออกมาพูดแบบนี้เพื่อโยนความกดดันไปให้คู่แข่งหรือเปล่า โดยเขากล่าวยอมรับว่า สาเหตุที่การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีกปีนี้กลายเป็นงานสุดหินของ แมนฯ ซิตี้ ก็เพราะว่า พวกเขาต้องขับเคี่ยวกับ ลิเวอร์พูล ชุดที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ในทางตรงกันข้าม เชื่อว่าสาวก หงส์แดง ทั้งหลายก็คงแอบตัดพ้ออยู่เหมือนกันว่า ขนาดทีมเก็บได้ 88 แต้ม มากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรแล้ว แต่ก็ยังไม่การันตีว่าจะเป็นแชมป์

และที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ มีทีมมหาเทพจากนอกพิภพอย่าง แมนฯ ซิตี้ เป็นก้างขวางคออยู่นั่นเอง…

เครดิตภาพ : www.standard.co.uk

Copyright© Bsite.In

เป็นอีกหนึ่งเกมที่ทำให้เหล่าสาวก หงส์แดง หัวใจแทบวาย กับนัดล่าสุดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ สเปอร์ส ไปได้แบบมีโชค…

สำหรับเกมนี้ว่ากันจริงๆ แล้ว เปิดมาในครึ่งแรกดูเหมือนว่า ลิเวอร์พูล จะครองเกมได้เหนือกว่าเล็กน้อย จนได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วจากลูกโขกของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ในนาทีที่ 16

แต่หลังจากนั้น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยิ่งเล่นยิ่งกดดันตัวเองหรือเปล่า เพราะเกมชักเริ่มไม่ค่อยประติดประต่อ แถมนักเตะบางคนยังดูลนลานผิดปกติ

โดยเฉพาะจังหวะที่ เจมส์ มิลเลอร์ ปล่อยลูกที่ฝั่ง สเปอร์ส โยนยาวมา หล่นใส่หน้าของ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ทั้งๆ ที่ช็อตนี้ไม่มีอะไรอันตรายเลย

ยังดีที่ทีมไม่เสียประตูในจังหวะนี้ ไม่งั้นนี่จะเป็นลูกที่สองที่ ลิเวอร์พูล ต้องเสียจากการสื่อสารกันผิดพลาด หลังจากที่พวกเขาเพิ่งเสียประตูแบบนี้ให้กับ ฟูแล่ม ไปในเกมก่อนหน้า

เปิดมาครึ่งหลัง บอกกันตามตรงแบบไม่เกรงใจสาวกเดอะ ค็อป ว่า หงส์แดง เป็นรอง ไก่เดือยทอง อย่างชัดเจน

ส่วนหนึ่งต้องชื่นชม เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่แก้เกมมาได้ดีมาก อีกส่วนหนึ่ง ก็เป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่กลับลงมาเล่นแบบเกร็งๆ กล้าๆ กลัวๆ ทำได้ดีที่สุดแค่ตั้งรับแล้วรอสวนกลับ

โดยเกมของ สเปอร์ส มาเหนือกว่าเจ้าถิ่นอย่างชัดเจน หลังจาก โปเช็ตติโน่ เปิดหน้าแลกด้วยการ ส่ง ซน ฮึง-มิน ลงมาเล่นแทน ดาวินซอน ซานเชซ แล้วให้ทีมปรับระบบการเล่นจาก 3-5-2 มาเป็น 4-3-3

ให้หลังแค่นาทีเดียว สเปอร์ส ก็ได้ประตูตีเสมอจาก ลูคัส มูร่า ซึ่งเอาจริงๆ พวกเขาน่าจะได้ประตูตีเสมอก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าลูกซ้ำของ คริสเตียน อิริคเซ่น ไม่ถูก แอนดี้ โรเบิร์ตสัน วิ่งตามมาบล็อคออกหลังไปได้แบบไม่น่าเชื่อ

เท่านั้นแหละ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องตัดสินใจแก้เกมด้วยการเปลี่ยน ฟาบินโญ่ และ ดิว็อค โอริกี้ มาเล่นแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ เจมส์ มิลเนอร์

แต่กลายเป็นฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่เกือบพังคาบ้าน จากลูกสวนกลับที่ มุสซ่า ซิสโซโก้ และ ซน ฮึง-มิน หลุดขึ้นมาถึงกรอบเขตโทษ โดยมี เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค วิ่งถอยมาประคองแค่คนเดียว

จังหวะนี้ต้องยกเครดิตให้ ฟาน ไดจ์ค ไปเต็มๆ ด้วยความนิ่งของกองหลังระดับเวิลด์คลาส เขาเลือกที่จะปิดช่องไม่ให้ ซิสโซโก้ ส่งบอลต่อให้ ซน ขณะเดียวกันก็บีบพื้นที่ให้ ซิสโซโก้ ต้องเลือกยิงเองด้วยเท้าซ้ายซึ่งไม่ใช่เท้าถนัด

และสุดท้าย ซิสโซโก้ ก็ยิงลูกนี้เหินข้ามคานไปออกไป ซึ่งนี่คือจุดชี้เป็นชี้ตายสำหรับ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้อย่างแท้จริง เพราะพวกเขารอดพ้นจากการเสียประตูไปอย่างหวุดหวิดสุดๆ ทำให้สกอร์ตอนนั้นยังเสมอกัน 1-1 ความหวังที่จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ยังพอมี

แล้วความพยายามของ ลิเวอร์พูล ก็มาสัมฤทธิ์ผลจนได้ในนาทีสุดท้าย และแม้ประตูชัยที่ได้จะมาจากความผิดพลาดของ ฮูโก้ ยอริส นายประตู สเปอร์ส ที่ปัดลูกโหม่งของ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ กระเด้งขา โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ เข้าประตูตัวเองไป

แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า พวกเขาสามารถชนะในเกมที่เล่นไม่ดีได้อีกหนึ่งเกม

ซึ่งการเล่นไม่ดี แต่ชนะ นี่แหละ คือหนึ่งในคุณสมบัติที่ทีมจะเป็นแชมป์ ต้องมี!

หลังจบเกม คล็อปป์ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า มี 500 วิธีในการจะเอาชนะในเกมฟุตบอล และวันนี้มันเป็นการชนะที่น่าเกลียดนิดหน่อย (เขาใช้คำว่า slightly ugly)

แต่ถ้าสุดท้ายมันสามารถทำให้ทีมได้สามแต้ม ใครจะไปแคร์? ไม่มีใครสนใจหรอกว่าจะชนะด้วยวิธีไหน!

5 ประเด็นเก็บตก หลัง ลิเวอร์พูล เฉือน สเปอร์ส 2-1 กลับขึ้นจ่าฝูงแบบหวุดหวิด

1. ลิเวอร์พูล รักษาสถิติไม่แพ้ใครในบ้านต่อไปเป็นนัดที่ 37 (ชนะ 27 เสมอ 10) ซึ่งเป็นสถิติไม่แพ้ใครในบ้านนานเป็นอันดับสอง (ร่วมกับ แมนฯ ซิตี้) ของประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีก

2. เจอร์เก้น คล็อปป์ พา ลิเวอร์พูล เก็บไปแล้วถึง 79 แต้ม จาก 32 นัด หากนับเฉพาะหลังจากพรีเมียร์ ลีกปรับระบบมาเป็นชนะได้ 3 คะแนน นี่ถึอเป็นแต้มที่พวกเขาทำได้มากที่สุดแซงหน้าฤดูกาล 1987-88 ที่เคยทำไว้ 76 แต้มเรียบร้อย นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังทำประตูรวมทุกรายการไปแล้วถึง 400 ลูก นับตั้งแต่ที่ คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม

3. ลิเวอร์พูล ได้ประตูชัยในนาทีที่ 90 หรือหลังจากนั้นในเกมพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้มาแล้ว 3 ประตู ซึ่งทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ได้ประตูชัยในนาทีที่ 90 หรือช่วงทดเจ็บ มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ ลีก โดยทำได้ถึง 33 ประตู (อาร์เซน่อล 25, แมนฯ ยูไนเต็ด 22)

4. โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ยิงไปแล้ว 7 ประตู จาก 6 เกมล่าสุดในพรีเมียร์ ลีกซึ่งเล่นที่แอนฟิลด์

5. แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ของเกมนี้ กลายเป็นกองหลัง ลิเวอร์พูล ที่ทำแอสซิสต์ให้กับทีมได้มากที่สุด โดยเขาทำแอสซิสต์ไปแล้ว 9 ลูกในพรีเมียร์ ลีกฤดูกาลนี้

เครดิตภาพ : www.standard.co.uk

Copyright© Bsite.In

ทำเอาแฟนๆ ใจหายใจคว่ำ ไปตามๆ กัน กับนัดล่าสุดที่ หงส์แดง ลิเวอร์พูล บุกไปเอาชนะ ฟูแล่ม ได้แบบหวุดหวิด 1-2

ทั้งๆ ที่ดูจากรูปเกมแล้ว ลิเวอร์พูล เหนือกว่า ฟูแล่ม ทุกอย่าง แถมเป็นฝ่ายครองเกมบุกเข้าใส่เกือบตลอดทั้งเกม แต่พอเล่นไปเล่นมากลายเป็นว่า สกอร์ออกมาสูสีซะอย่างนั้น!

เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้เกมนี้ที่ดูเหมือนจะเป็นงานง่าย กลายเป็นงานช้างขึ้นมา (แฟนๆ บางคนแอบบ่นว่ากว่าจะชนะ ฟูแล่ม ได้ ลุ้นเหนื่อยกว่านัดชนะ บาเยิร์น เสียอีก) ก็คือ การที่ไม่สามารถทำประตูขึ้นนำเป็น 2-0 ได้ ทั้งๆ ที่ก่อนจะพลาดเสียประตูตีเสมอ พวกเขาก็สร้างสรรค์โอกาสได้พอสมควร

พอบวกประตูที่สองเพิ่มไม่ได้ ยิ่งเล่นไป ฟูแล่ม ก็ยิ่งไม่กลัว จนพวกเขาเริ่มตั้งหลักได้ และหันกลับมาเล่นงาน ลิเวอร์พูล ด้วยจังหวะสวนกลับที่อันตรายขึ้นเรื่อยๆ

สัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นในนาทีที่ 64 เมื่อ ฟลอยด์ อายิเต้ โหม่งเข้าประตูไป แต่โชคดีของ ลิเวอร์พูล ที่จังหวะนี้เป็นลูกล้ำหน้า

และในที่สุด งานก็เข้า ลิเวอร์พูล จนได้ เมื่อ ฟาน ไดจ์ค กับ อลิสซง เบ็คเกอร์ สื่อสารกันผิดพลาด ทำให้ ไรอัน บาเบล ฉกบอลเข้าไปยิงง่ายๆ เป็นลูกตีเสมอให้กับ ฟูแล่ม

ยังดีที่ ลิเวอร์พูล มาได้ลูกจุดโทษในช่วง 10 นาทีสุดท้าย และเป็น เจมส์ มิลเนอร์ ที่ลงมาเป็นตัวสำรองรับหน้าที่สังหารเข้าไปเป็นประตูชัยในเกมนี้

ซึ่งถ้าไม่ได้ประตูจากจุดโทษลูกนี้ พูดกันตามตรงว่า ลิเวอร์พูล อาจไม่ชนะในเกมนี้ก็ได้ เพราะดูกันตามเนื้อภาพแล้ว นึกไม่ออกเหมือนกันว่าพวกเขาจะเจาะประตู ฟูแล่ม ได้ยังไง!!!

เพราะหากไม่นับ ซาดิโอ มาเน่ ที่ยิงประตูในพรีเมียร์ ลีกรวมนัดนี้เป็นลูกที่ 9 จาก 9 นัดล่าสุด แนวรุกคนอื่นๆ ที่เหลือของ ลิเวอร์พูล แทบทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันกันเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ เกมนี้เป็นอีกเกมที่เขาโชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวัง มีอยู่สองจังหวะในครึ่งหลังที่ทำให้แฟนๆ เกิดข้อสงสัยอีกครั้งว่า เขาคือ ซาล่าห์ คนเดิมจากฤดูกาลที่แล้วหรือเปล่า?

จังหวะแรกคือ จังหวะสวนกลับที่ ซาล่าห์ พาบอลควบขึ้นมาทางขวา โดยมี ไวจ์นัลดุม กับ มาเน่ วิ่งทำทางมาด้วยด้านซ้าย โดยตอนนั้นเหลือนักเตะ ฟูแล่ม ยืนคุมหลังอยู่แค่สองคน

แทนที่ ซาล่าห์ จะส่งบอลต่อให้เพื่อนที่ยืนรอโล่งๆ อยู่ทางซ้าย เขากลับตัดสินใจกระชากบอลออกไปทางขวา จนโดนผู้เล่น ฟูแล่ม ตัดบอลไปได้

อีกหนึ่งจังหวะเป็นจังหวะสวนกลับเช่นกัน คราวนี้เป็น มาเน่ ที่พาบอลขึ้นมาถึงกรอบเขตโทษของ ฟูแล่ม ก่อนที่จะดึงจังหวะรอแล้วไหลบอลใส่พานทองต่อให้ ซาล่าห์ ที่วิ่งเติมมาทางซ้าย หลุดเข้าไปดวลจะๆ กับผู้รักษาประตู แต่ ซาล่าห์ กลับยิงลูกนี้ติดเซฟ เซร์คิโอ ริโก้ นายทวารฟูแล่ม ซะดื้อๆ

การที่ ซาล่าห์ ยิงประตูไม่ได้ในเกมนี้ เท่ากับว่า ซาล่าห์ ยิงประตูไม่ได้ในพรีเมียร์ ลีก มาแล้ว 5 นัดติดต่อกัน!

ยังไงก็ตาม แม้จะเป็นอีกหนึ่งเกมที่ ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มกันได้ไม่ดีนัก แต่เหนือสิ่งอี่นใดก็คือ พวกเขาสามารถเก็บสามแต้มสุดล้ำค่าเอาไว้ได้

นั่นทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล แซง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงชั่วคราว โดยมี 76 คะแนน นำหน้าทีม เรือใบสีฟ้า อยู่ 2 แต้ม แต่ลงเตะมากกว่า 1 นัด

สำหรับ 76 คะแนน จากการลงเตะไปแล้ว 31 นัดในฤดูกาลนี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล ทำแต้มได้มากกว่าที่เคยทำไว้ในฤดูกาลที่แล้วเป็นที่เรียบร้อย

โดยเมื่อปีก่อน ลิเวอร์พูล เตะครบ 38 แม็ตช์ ได้มาทั้งหมด 75 แต้ม จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4

ส่วนฤดูกาลนี้ที่เหลืออีก 7 นัด ลิเวอร์พูล จะเก็บแต้มเพิ่มได้อีกเท่าไหร่ และแต้มที่เก็บได้จะเพียงพอต่อการคว้าแชมป์มั้ย? โปรดติดตามกันต่อไป…

10 ประเด็น เก็บตก หลัง ลิเวอร์พูล บุกเฉือน ฟูแล่ม 1-2 ขึ้นจ่าฝูงชั่วคราว…

1. ลิเวอร์พูล ยืดสถิติไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ ลีกออกไปเป็นนัดที่ 10 (ชนะ 6 เสมอ 4 แพ้ 0) และกลับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงอีกครั้งหลังจากหล่นตำแหน่งเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

2. เจมส์ มิลเนอร์ ผู้ยิงลูกจุดโทษซึ่งเป็นประตูชัยในเกมนี้ ทำสถิติยิงประตูแล้วทีมไม่แพ้เป็น 51 เกม  (ชนะ 40 เสมอ 11)

3. เกมนี้ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค สวมปลอกแขนกัปตันทีมให้ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 9 ซึ่ง 9 นัดที่เขาเป็นกัปตันทีม ลิเวอร์พูล ชนะทั้ง 9 นัด!

4. ซาดิโอ มาเน่ แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ของเกมนี้ กลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูเฉพาะเกมพรีเมียร์ ลีกได้มากที่สุดในปี 2019 โดยตอนนี้เขายิงไปแล้ว 9 ประตู เท่ากับ เซร์คิโอ อเกวโร่

5. นอกจากนี้ มาเน่ ซึ่งฤดูกาลนี้ยิงไปแล้ว 17 ประตู ยังกลายเป็นนักเตะสัญชาติเซเนกัลที่ยิงประตูในพรีเมียร์ ลีกได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยแซงหน้า เด็มบา บา ที่เคยทำประตูให้กับ นิวคาสเซิล ไป 16 ลูก ในฤดูกาล 2011/12

6. โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ทำแอสซิสต์เฉพาะเกมในพรีเมียร์ ลีกไปแล้ว 7 ครั้ง ในขณะที่ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ทำแอสซิสต์ไป 4 ครั้ง และ มาเน่ 3 ครั้ง

7. ไรอัน บาเบล กลายเป็นอดีตนักเตะ ลิเวอร์พูล คนแรกในรอบเกือบ 2 ปีที่ยิงประตูทีมเก่าได้ โดยก่อนหน้านี้ คริสเตียน เบนเทเก้ เคยยิงประตู ลิเวอร์พูล ได้ในเดือน เมษายน ปี 2017

8. ก่อนเกม บาเบล ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีมกับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ในทีมชาติฮอลแลนด์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเขาเองรู้จุดอ่อนของ ฟาน ไดจ์ค เป็นอย่างดี และเขาก็อาศัยจังหวะที่ ฟาน ไดจ์ค เล่นผิดพลาด ยิงประตูตีเสมอให้กับ ฟูแล่ม ได้จริงๆ ในเกมนี้

9. ฟูแล่ม ยังคงมีผลงานอันย่ำแย่ต่อไปในการเจอทีมบิ๊กซิกซ์ โดยพวกเขาไม่สามารถเอาชนะทีมบิ๊กซิกซ์ได้เลยตลอด 11 ฤดูกาลล่าสุดในพรีเมียร์ ลีก

10. สก็อตต์ ปาร์เกอร์ กลายเป็นกุนซือ ฟูแล่ม คนแรกในรอบ 11 ปีที่พาทีมแพ้รวด 3 เกมแรกในการเข้ามาคุมทีม โดยก่อนหน้านี้ เป็น รอย ฮอดจ์สัน ที่เคยพา ฟูแล่ม แพ้รวดในการคุมทีม 3 นัดแรกเช่นกัน เมื่อเดือนมกราคม ปี 2008

เครดิตภาพ : www.standard.co.uk

Copyright© Bsite.In