เป็นอีกหนึ่งเกมที่ ทีมปีศาจแดง โชว์ฟอร์มกันได้น่าผิดหวังสุดๆ หลังทำได้แค่บุกไปเสมอกับ ฮัดเดอร์ฟิลด์ 1-1

การเก็บได้แค่ 1 แต้มในเกมนี้ เท่ากับว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถทำอันดับติดท็อปโฟร์ได้แน่นอนแล้ว

ก่อนเกมนี้ จริงๆ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังพอมีโอกาสที่จะคว้าอันดับ 4 เมื่อดูจากโปรแกรมสองนัดที่เหลือซึ่งมีคิวพบกับสองทีมที่ตกชั้นไปแล้วอย่าง ฮัดเดอร์ฟิลด์ และ คาร์ดิฟฟ์

ยิ่ง สเปอร์ส พลาดท่าพ่ายให้กับ บอร์นมัธ ไปก่อนเมื่อช่วงหัวค่ำของวันเสาร์ ทำให้ตามทฤษฎีแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ยังมีความหวังในการลุ้นติดท็อปโฟร์ต่อไปจนถึงนัดสุดท้าย

โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องเก็บสามแต้มเท่านั้นในเกมกับ ฮัดเดอร์ฟิลด์ จากนั้นต้องเอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ ให้ได้ในเกมสุดท้ายของฤดูกาลที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แล้วแช่งให้ สเปอร์ส พลาดท่าแพ้ เอฟเวอร์ตัน

ถ้าเป็นไปตามนี้ พวกเขาก็จะแซงเข้าเส้นชัยในอันดับ 4 แบบเท่ๆ ทันที

แต่เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงขนาด “กล้า” เสมอกับ ฮัดเดอร์ฟิลด์ ทีมบ๊วยของตาราง ซึ่งก่อนหน้านี้แพ้รวดมา 8 นัด นั่นเท่ากับว่าทุกอย่าง จบ!

เพราะหลังผ่านนัดที่ 37 พวกเขามีแต้มตามหลัง สเปอร์ส อันดับ 4 อยู่ 4 แต้ม แต่เหลือเกมลงเตะอีกเกมเดียว ยังไงก็ไล่ไม่ทัน

ผลเสมอเกมนี้ทำให้มีสถิติแย่ๆ เกิดขึ้นตามมาหลายอย่าง ไล่ไปตั้งแต่ การไม่ชนะใครเป็นนัดที่ 5 ติดต่อกันในทุกรายการ ไม่ชนะเกมเยือนเป็นนัดที่ 6 ติดต่อกันในทุกถ้วย

แถมประตูที่เสียในเกมนี้ ยังเป็นการเสียประตู 14 เกมติดต่อกันในทุกรายการ และถ้านับเฉพาะในพรีเมียร์ ลีก มีแค่ ฟูแล่ม กับ ฮัดเดอร์ฟิลด์ (5 นัดเท่ากัน) เท่านั้น ที่เก็บคลีนชีทได้น้อยกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด (7 นัด)

และหากมองย้อนกลับไปไกลกว่านั้นอีกนิด ก็ยิ่งทำให้เราเห็นชัดเจนว่า ผลงานช่วงหลังๆ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ โซลชา หล่นวูบลงมาอย่างน่าใจหายจริงๆ

โดยก่อนที่จะบุกไปชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 1-3 ในแชมเปียนส์ ลีก โซลชา ทำผลงานสุดหรูด้วยการพาทีมชนะ 13 เสมอ 2 และแพ้แค่ 1 จาก 16 เกมในทุกรายการ

แต่หลังจากเปิดโหมด โกงความตาย คว่ำโคตรทีมแห่ง ลีก เอิงสำเร็จ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ โซลชา กลับมีผลงานหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะ 11 เกมต่อมาในทุกรายการ พวกเขาชนะแค่ 2 เสมอ 2 และแพ้ไปถึง 7

โซลชา ให้สัมภาษณ์สื่อหลายๆ สำนักหลังเกมเจ๊า ฮัดเดอร์ฟิลด์ ในทำนองคล้ายๆ กันว่า จริงๆ แล้ว ทีมของเขายังพอมีหวังที่จะจบอันดับท็อปโฟร์ แต่กลับฉวยโอกาสตรงนั้นไว้ไม่ได้

และด้วยผลการแข่งขันที่ออกมาในเกมนี้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ยังดีไม่พอสำหรับการไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลหน้า

นอกจากนี้ มีประโยคหนึ่งที่ โชลชา หลุดปากเอ่ยออกมาในการให้สัมภาษณ์กับ BBC เขาบอกว่า “อันดับในตารางไม่เคยโกหกใคร”

ซึ่งการพูดแบบนี้ เหมือนกับเขายอมรับแต่โดยดีว่า ถ้าทำผลงานได้เท่านี้ การได้ไปเล่นแค่ ยูโรป้า ลีก ก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว

ว่าแต่ สาวกปีศาจแดงทั้งหลายล่ะ ทำใจยอมรับกับผลงานฤดูกาลนี้ได้หรือเปล่า?

เครดิตภาพ : www.standard.co.uk

Copyright© Bsite.In

และแล้ว ผลงานอันสวยหรูของ โอเล่ กุนน่าร์ โซลชา ก็มีอันต้องจบสิ้นลง เมื่อในนัดล่าสุดบุกไปปราชัยให้กับ อาร์เซน่อล 0-2

โดยความพ่ายแพ้ในเกมนี้ ถือเป็นการแพ้ในพรีเมียร์ ลีกเป็นเกมแรกของ แมนฯ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่ที่ โซลชา เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวแทน โจเซ่ มูรินโญ่

ซึ่งถ้ามองกันแบบแฟร์ๆ คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ถึงแม้จะแพ้เกมนี้ แต่ที่ผ่านมา โซลชา ทำผลงานให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว

เพราะนับตั้งแต่ที่ โซลชา เข้ามาคุมทีมนัดแรกเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2018 เฉพาะในพรีเมียร์ ลีก เขาพา แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บชัยชนะได้ถึง 10 จาก 13 เกม โดยเสมอไปแค่ 2 เกม และเพิ่งจะมาแพ้ อาร์เซน่อล เป็นเกมแรก ซึ่งเป็นการหยุดสถิติการชนะเกมเยือน 100 เปอร์เซนต์ เอาไว้ที่เกมนี้ด้วย

ส่วนอีกเกมหนึ่งที่เคยแพ้มาก่อนหน้านี้ก็คือ เกมในแชมเปี้ยนส์ ลีกที่เปิดบ้านพ่ายให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไป 0-2 แต่ โซลชา และลูกทีม ก็แก้ตัวด้วยผลงานชิ้นโบว์แดง บุกไปเอาชนะ เปแอสเช คืนได้ถึงถิ่น 1-3 พลิกเข้ารอบไปแบบหักปากกาเซียน!

อย่างไรก็ตาม จุดหนึ่งที่น่าเห็นใจทั้ง โซลชา รวมถึงกองเชียร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยก็คือ แม้จะทำผลงานในช่วงหลังได้ค่อนข้างดีด้วยการกลับมาเก็บแต้มได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วอันดับในตารางก็ยังไม่ดีขึ้นซักเท่าไหร่

จริงๆ แล้ว ก่อนลงเตะกับ อาร์เซน่อล พวกเขามีโอกาสทำแต้มขึ้นไปเท่ากับ สเปอร์ส ในอันดับสาม หลังจากที่ ทีมไก่เดือยทอง พลาดท่าแพ้ให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน ไปก่อนในคืนวันเสาร์

แถม เชลซี คู่แข่งลุ้นท็อปโฟร์ที่ลงเตะก่อนในวันอาทิตย์ ก็สะดุดทำได้แค่เสมอกับ วูล์ฟ ในบ้าน ทำให้ ทีมปีศาจแดง มีสิทธิ์ทำแต้มหนี สิงโตน้ำเงินคราม ออกไป หากพวกเขาบุกไปคว่ำ อาร์เซน่อล ได้สำเร็จ

แต่เมื่อลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ถูก ทีมปืนใหญ่ ทำอันดับแซงขึ้นไปอยู่ที่สี่ด้วยแต้มที่มากกว่าสองคะแนน

เท่านั้นยังไม่พอ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่หล่นมาอยู่อันดับห้า ตอนนี้มีแต้มมากกว่าอันดับหก เชลซี ซึ่งเตะน้อยกว่าหนึ่งนัดแค่แต้มเดียวเท่านั้น!!!

นั่นหมายความว่า ในสัปดาห์หน้า แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งไม่มีคิวเตะในพรีเมียร์ ลีก เนื่องจากต้องเล่นเอฟ เอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ วูล์ฟ จะหล่นลงมาอยู่อันดับหกทันที หาก เชลซี ได้อย่างน้อยหนึ่งแต้มจากการบุกไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสัน พาร์ค เพราะประตูได้เสีย แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นรองอยู่หนึ่งลูก

นอกจากนี้ ความพ่ายแพ้ของ แมนฯ ยูไนเต็ด (รวมถึง สเปอร์ส ด้วย) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้การแย่งตำแหน่งอันดับ 3-4 ในตอนนี้ กลับมาเข้มข้นชนิดต้องลุ้นกันแบบนัดต่อนัด

การที่อันดับสามอย่าง สเปอร์ส มีแต้มนำหน้าอันดับหกอย่าง เชลซี อยู่แค่ 4 แต้ม นั่นเท่ากับว่า โอกาสที่อันดับ 3-6 จะสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันยังคงเกิดขึ้นได้ในทุกสัปดาห์

สำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด โปรแกรมในอีก 8 นัดที่เหลือ พวกเขามีเกมหนักสองเกมรออยู่ช่วงปลายเดือนเมษายน คือ เกมที่จะเล่นในบ้านพบกับ แชมป์เก่า แมนฯ ซิตี้ และ เกมที่ต้องพบกับทีมที่แย่งอันดับท็อปโฟร์กับพวกเขาโดยตรงอย่าง เชลซี

ทางฝั่ง สเปอร์ส อีก 8 นัดที่เหลือมีเกมหนักรออยู่อีกสองเกมเช่นกันนั่นคือ การต้องออกไปเยือนสองทีมที่กำลังลุ้นแชมป์อยู่ทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้

ส่วนอีก 8 นัดที่เหลือของ เชลซี พวกเขามีเกมหนักรออยู่สองเกมเหมือนกันคือ การบุกไปเยือน ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ยูไนเต็ด

ในขณะที่ อาร์เซน่อล เป็นทีมที่โปรแกรม 8 นัดที่เหลือดูจะเจองานเบากว่าเพื่อน เพราะพวกเขาลงเตะกับทีมระดับท็อปซิกซ์ไปครบหมดแล้ว

ทั้งหลายทั้งปวง 30 นัดที่ผ่านพ้นไป ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มาตรฐานของพรีเมียร์ ลีกในปีนี้สูงขึ้นมากจริงๆ

ทั้งในส่วนของการลุ้นอันดับ 3-4 ซึ่งมีถึงสี่ทีมอย่าง สเปอร์ส, อาร์เซน่อล, แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ที่ต้องแย่งกัน ซึ่งสุดท้ายจะมีแค่ 2 จาก 4 ทีมเท่านั้นที่สมหวังติดอันดับท็อปโฟร์

ขณะที่การลุ้นแชมป์ แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่ได้เดินหน้าโกยแต้มคว้าแชมป์ชนิดทิ้งคู่แข่งแบบสุดกู่เหมือนปีก่อน เพราะมีคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้ออย่าง ลิเวอร์พูล ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงในปีนี้

ส่วนการลุ้นหนีตกชั้นก็กำลังบี้กันสนุก เพราะหากไม่นับ ฮัดเดอร์ฟิลด์ และ ฟูแล่ม ที่อยู่ในอาการโคม่าแล้ว มีอีก 4-5 ทีมที่ต้องดิ้นรนอย่างหนักหากหวังจะอยู่รอดในลีกสูงสุดต่อไป

แต่กว่าที่จะรู้ว่า ใครจะได้แชมป์? ใครจะติดท็อปโฟร์? ใครจะตกชั้น? บางทีเราอาจต้องลุ้นกันไปจนถึงนัดสุดท้ายเลยก็เป็นได้…

เครดิตภาพ : www.standard.co.uk

Copyright© Bsite.In

ล็อคถล่ม! ชนิดหักปากกาเซียนทุกสำนัก สำหรับ เกมยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก รอบ 16 สุดท้าย นัดที่สอง ระหว่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง กับ แมนฯ ยูไนเต็ด

เพราะคงไม่มีใครกล้าคิดหรอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ที่พ่ายคาบ้านตัวเองพร้อมกับเสียอะเวย์โกล์ให้กับโคตรทีมจากฝรั่งเศสไปถึงสองลูก จะสามารถบุกไปยิงคืนได้ถึงสามประตูในเกมนัดที่สอง จน “พลิกนรก” กลายเป็นฝ่ายผ่านเข้ารอบไปแบบสุดเซอร์ไพรส์!

แม้หลายคนอาจจะบอกว่า เกมนี้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง โชคร้าย ที่ต้องมาเสียลูกจุดโทษในนาทีที่ 94 แถมลูกจุดโทษลูกนี้ยังได้มาจากการตัดสินด้วย วีเออาร์ อีกต่างหาก

แต่ถ้าหากดูจากตัวผู้เล่น เกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นรองอย่างชัดเจน เพราะนอกจาก พอล ป็อกบา ที่ติดโทษแบนแล้ว พวกเขายังไม่มีทั้ง ฆวน มาต้า, เจสซี่ ลินการ์ด, เนมันย่า มาติช, อันเดร์ เอร์เรร่า, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล, อเล็กซิส ซานเชส ที่มีอาการบาดเจ็บลงสนามไม่ได้

ทั้งหลายทั้งปวง ต้องยกเครดิตให้กับ โอเล่ กุนน่าร์ โซลชา ไปเต็มๆ ที่สามารถปลุกเร้าให้ลูกทีมคนอื่นๆ ที่เหลือ ลงสนามไปเล่นด้วยทัศนคติที่ยอดเยี่ยม และยังเชื่อมั่นว่า พวกเขายังมีสิทธิ์ผ่านเข้ารอบ จนสุดท้ายก็สามารถทำมันได้จริงๆ

และต่อไปนี้คือ 9 ประเด็น ที่เกิดขึ้น หลังจากที่ แมนฯ ยูไนเต็ด โกงความตาย ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก ได้สำเร็จ…

1. แมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของ แชมเปี้ยน ลีก ที่ผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายแพ้เกมแรกที่เล่นในบ้านไปก่อนด้วยผลต่าง 2 ประตูขึ้นไป

2. เกมนี้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เสีย 3 ประตู จากการถูกคู่ต่อสู้ยิงตรงกรอบไป 4 ครั้ง ซึ่งส่งให้พวกเขาต้องอกหักตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยน ลีก เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

3. ในการลงเตะรอบน็อกเอาท์ 12 เกมล่าสุด ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปถึง 7 เกม (ชนะ 4 และเสมอ 1) ซึ่งรวมถึงรอบน็อคเอาท์ในสองปีที่ผ่านมาด้วย ที่พวกเขาตกรอบคาสนาม ปาร์ก เดส์ แปร็งซ์ ถิ่นของตัวเอง

4. ประตูแรกของ โรเมลู ลูกากู ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากเริ่มเกมไปแค่ 111 วินาที กลายเป็นประตูที่เกิดขึ้นเร็วที่สุดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ใน แชมเปี้ยน ลีก นับตั้งแต่ที่ เวย์น รูนี่ย์ เคยยิงประตู บาเยิร์น มิวนิค ได้ โดยใช้เวลาแค่ 63 วินาที เมื่อเดือน มีนาคม ปี 2010

5. มีนักเตะหลายคนที่โชว์ฟอร์มดีขึ้นผิดหูผิดตา หลังจากที่ โซลชา เข้ามาคุมทีม หนึ่งในนั้นก็คือ ลูกากู ที่เกมนี้ยิงคนเดียว 2 ประตู ซึ่งนี่เป็นการทำคนเดียว 2 ประตูเป็นนัดที่สามติดต่อกันในทุกรายการแล้ว โดยเขายิง 2 ลูกในนัดที่ ชนะ พาเลซ 1-3, ชนะ เซาธ์แฮมตัน 3-2, ชนะ แปเอสเช 1-3

6. นับตั้งแต่ที่ โอเล่ กุนน่าร์ โซลชา เข้ามาคุมทีมนัดแรกเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2018 เขาพาทีมเก็บชัยชนะในการลงสนามทุกรายการไปถึง 14 นัด ซึ่งหากนับเฉพาะแค่ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป มีเพียง แมนฯ ซิตี้ ทีมเดียวเท่านั้นที่เก็บชัยชนะได้มากกว่า โดยพวกเขาเก็บชัยชนะในทุกรายการไป 15 นัด

7. มาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นผู้ยิงจุดโทษซึ่งเป็นประตูชัยให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนี้ โดยนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ แรชฟอร์ด รับหน้าที่ยิงจุดโทษให้กับทีมในแม็ตช์การแข่งขันอย่างเป็นทางการ

8. จนถึงตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำประตูได้จากการเล่นเป็นทีมเยือนในทุกรายการติดต่อกันเป็นนัดที่ 21 แล้ว ซึ่งนี่เป็นสถิติที่เทียบเท่ากับทีมในยุคของเซอร์ มัตต์ บัสบี้ ที่เคยทำได้ช่วงเดือนพฤศจิกายน 1956 – เดือนกันยายน 1957

9. เมสัน กรีนวู้ด กลายเป็นนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่อายุน้อยที่สุดที่ลงสนามให้กับทีมใน แชมเปี้ยน ลีก โดยเขามีอายุเพียง 17 ปี กับอีก 156 วัน ทำลายสถิติของ เคราร์ด ปิเก้ ที่เคยลงสนามในถ้วยนี้ด้วยอายุ 17 ปี กับ 310 วัน

เครดิตภาพ : www.standard.co.uk

Copyright© Bsite.In