- Lifestyle
ท็อปโฟร์ อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว สำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด
By Sweeper Keeper • on Jan 14, 2019 • 2,026 Views
หลังจากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมแดงเดือด แต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็พา แมนฯ ยูไนเต็ด เดินหน้าเก็บชัยชนะในลีก 4 นัดรวดเลยก็ตาม
แต่ดูเหมือนว่าการไล่ตบทีมที่ห่างชั้นกว่าอย่าง คาร์ดิฟฟ์, ฮัดเดอร์ฟิลด์, บอร์นมัธ และ นิวคาสเซิล ยังไม่สามารถทำให้แฟนบอลหมดข้อสงสัยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังกลับมาสู่เส้นทางที่คู่ควรแล้วจริงหรือเปล่า?
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม เกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องบุกไปเยือน สเปอร์ส ซึ่งจะเป็นแม็ตช์แรกของ โชลชา ในการคุมทีมลงเตะกับทีมระดับท็อปซิกซ์ด้วยกัน ถึงเป็นเกมที่ได้รับความสนใจจากเหล่าแฟนบอลโดยเฉพาะเหล่าสาวก ปีศาจแดง เป็นอย่างมาก
เพราะถ้าหาก โซลชา สามารถนำทีมบุกไปคว่ำ สเปอร์ส ซึ่งเมื่อต้นฤดูกาลเคยบุกมาถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ด (สมัยที่ มูรินโญ่ ยังคุมทีมอยู่) คา โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 0-3 ได้แล้วล่ะก็
ข้อครหา และ ข้อสงสัย ต่างๆ เหล่านั้นที่มีต่อ แมนฯ ยูไนเต็ด รวมถึงตัว โชลชา น่าจะถูกลบออกจากความคิดของทั้ง กองเชียร์ และ กองแช่ง ไปได้ซะที
และพวกเขาก็ทำสำเร็จจริงๆ เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถบุกไปเอาชนะ สเปอร์ส ได้ถึงเวมบลี่ย์ 1-0 ทั้งๆ ที่ก่อนเกม เหล่าบรรดาเกจิอาจารย์ทั้งไทยและเทศ ส่วนใหญ่ออกมาแสดงทัศนะว่าอย่างเก่งนัดนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด คงทำได้แค่เสมอ
ซึ่งถ้าหากเรามองลงไปในรายละเอียดของเกมนี้ โดยเฉพาะครึ่งแรก ต้องถือว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ลงมาเล่นตามแท็คติกที่ โชลชา และทีมงาน วางไว้ได้ดีมากๆ
แม้ สเปอร์ส จะเป็นฝ่ายครองเกมได้มากกว่า แต่แนวรุกตัวความหวังทั้ง ซน ฮึง-มิน และ แฮร์รี่ เคน ที่ยิงประตูคู่แข่งเป็นว่าเล่นช่วง 2-3 นัดหลัง กลับทำอะไรได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
ทั้งนี้เป็นเพราะ เกมรับ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่มีวินัยขึ้นอย่างผิดหูผิดตา โดยเฉพาะคู่เซ็นเตอร์อย่าง โจนส์ และ ลินเดอเลิฟ ที่เล่นได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นจุดอ่อนของทีมมาตลอด
ในขณะที่กองกลางอย่าง มาติช และ เอร์เรร่า ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยม มาติช คุมพื้นที่ และคุมจังหวะของเกม ส่วน เอร์เรร่า ก็ขยันวิ่งไล่กดดันให้นักเตะ สเปอร์ส เล่นไม่ถนัด
แต่ที่ต้องชมเป็นพิเศษก็คือ แนวรุกของทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลินการ์ด, แรชฟอร์ด และ ป็อกบา ที่ทำให้เกมสวนกลับดู วูบวาบ น่ากลัว ทุกครั้งที่ขึ้นเกมมาถึงในแดนของ สเปอร์ส
สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้ประตูขึ้นนำจนได้ จากจังหวะที่ คีแรน ทริปเปียร์ พยายามจะจ่ายบอลเข้ากลางแต่พลาด จนทำให้ ป็อกบา จ่ายบอลสุดงามให้ แรชฟอร์ด ยิงผ่านมือ ฮูโก้ ยอริส เข้าประตูไป
ซึ่งประตูขึ้นนำของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในนาทีที่ 44 ลูกนี้ ถือเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมเลยก็ว่าได้ เพราะการได้ประตูออกนำช่วงท้ายเกมแบบนี้ หมายความว่า คู่ต่อสู้แทบไม่เหลือเวลาให้แก้ตัวก่อนหมดครึ่งแรกเลย ต้องไปว่ากันใหม่อีกทีในครึ่งหลัง ซึ่งคู่แข่งก็จะมีเวลาช่วงพักครึ่งในการไปปรับแท็คติกมารับมือเช่นกัน
จุดเปลี่ยนสำคัญอีกจุดหนึ่งที่เกิดขึ้นในครึ่งแรก ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นจุดที่ “ชี้เป็น-ชี้ตาย” ในเกมนี้คือ การที่ มุสซ่า ซิสโซโก้ ซึ่งถือเป็นมิดฟิลด์ผึ้งงาน ที่ช่วยทั้งเกมรุก-เกมรับในแผงกลางของ สเปอร์ส ได้รับบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว
และแม้ โปเซ็ตติโน่ จะแก้เกมด้วยการส่ง เอริค ลาเมล่า ลงมาแทน แต่ถ้าดูกันจริงๆ ตอนนั้น สเปอร์ส ไม่มีนักเตะมิดฟิลด์ที่เล่นสไตล์เดียวกับ ซิสโซโก้ อยู่ในสนามเลยแม้แต่คนเดียว
พอ ลาเมล่า ลงสนามมา กองกลางของ สเปอร์ส ก็เลยดูสับสนในการยืนตำแหน่งจนเสียสมดุลในการเล่นไปเลย และหลังจากนั้นไม่กี่นาที พวกเขาก็ถูก แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำ!
มาในครึ่งหลัง สเปอร์ส ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินหน้าบุกแหลก ส่วนทาง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ลงไปตั้งรับแน่น แล้วรอโต้กลับตามสูตร เพียงแต่เกมสวนกลับดูจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเหมือนกับในครึ่งแรกแล้ว
รูปเกมครึ่งหลังก็เลยเป็นอย่างที่เห็น สเปอร์ส บุกกระหน่ำเข้าใส่แทบจะฝ่ายเดียว แต่ในวันที่ทุกอย่างเป็นใจ อะไรๆ ก็ดูดีไปหมดสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะไม่ว่าแนวรุก ไก่เดือยทอง จะยิงมาแบบไหน ดาบิด เด เคอา ก็ปัดป้องเอาไว้ได้หมด ช่วยให้ทีมรักษาสกอร์ 1-0 เอาไว้จนจบเกม และคว้าสามแต้มสำคัญได้ในที่สุด
สถิติหลังเกม บ่งชี้ว่า สเปอร์ส เล่นได้เหนือกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างชัดเจน เพราะพวกเขาครองบอลได้ถึง 61 เปอร์เซ็นต์ ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ครองบอลได้แค่ 39 เปอร์เซ็นต์
ที่สำคัญก็คือ เกมนี้ สเปอร์ส มีโอกาสยิงประตูถึง 21 ครั้ง และเป็นการยิงตรงกรอบ 11 ครั้ง แต่ทว่าทั้ง 11 ครั้ง ของ สเปอร์ส ก็ถูก เด เคอา เซฟเอาไว้ได้ทั้งหมด!
เมาริซิโอ โปเซ็ตติโน่ ผู้จัดการทีม สเปอร์ส ออกมาให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่า ฟอร์มการเล่นในครึ่งหลัง เป็นฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทีมนับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาคุมทีม แต่เป็นเพราะลูกทีมของเขาไม่คมกันเอง เลยทำให้แพ้ในเกมนี้ไป
ในขณะที่ โซลชา ออกมาชื่นชมลูกทีมว่า ช่วยกันเล่นเกมรับได้ดีทุกคน ส่วน เด เคอา ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในการเซฟถึง 11 ครั้ง โดยมีอยู่ 2 ลูกที่พวกเขาน่าจะโดนตีเสมอ แต่ เด เคอา ก็ป้องกันไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งหลายทั้งปวง เท่ากับว่า หลังจากเข้ามาคุมทีม โซลชา พา แมนฯ ยูไนเต็ด เดินหน้าเก็บชัยชนะ 5 เกมรวด ทำแต้มขึ้นมาเท่ากับอันดับห้า อาร์เซน่อล ที่ 41 คะแนน แล้วตอนนี้
แถมนัดถัดไป ทีมปืนใหญ่ มีศึกหนักรออยู่ โดยต้องเล่นเกมลอนดอน ดาร์บี้แม็ตช์กับทีมอันดับสี่ เชลซี (ที่ตอนนี้มีอยู่ 47 แต้ม) ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด มีคิวเล่นในบ้านพบกับ ไบรท์ตัน ซึ่งดูกันตามฟอร์มแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่ว่าผลการแข่งขันคู่ อาร์เซน่อล กับ เชลซี จะออกมาหน้าไหน ถ้า แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บสามแต้มได้ พวกเขาก็จะขยับเข้าใกล้ตำแหน่งท็อปโฟร์มากขึ้นไปอีก…
เปิด 5 สถิติ หลัง แมนฯ ยูไนเต็ด บุกอัด สเปอร์ส คาบ้าน
1.โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ทำสถิติเทียบเท่า เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ ในการพาทีมชนะรวด 5 เกมแรกในการคุม แมนฯ ยูไนเต็ด
2. แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บคลีทชีทสองนัดติดต่อกันได้เป็นครั้งแรกของฤดูกาล โดย 20 เกมก่อนหน้านี้พวกเขาเก็บคลีทชีทได้แค่ 2 เกมเท่านั้น
3. มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิงประตูให้ แมนฯ ยูไนเต็ด สามเกมติดต่อกันได้เป็นครั้งแรกของการค้าแข้ง
4. นับตั้งแต่ โซลชา เข้ามาคุมทีม 5 เกม ป็อกบา ทำไปแล้ว 4 ประตู กับอีก 4 แอสซิสต์
5. ดาบิด เด เคอา เซฟในเกมนี้ไปถึง 11 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติการเซฟมากที่สุดต่อหนึ่งเกมรองจากแม็ตช์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด พบกับ อาร์เซน่อล เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2017 โดยในเกมนั้น เด เคอา เซฟไปทั้งหมด 14 ครั้ง
เครดิตภาพ : standard.co.uk
ABOUT THE AUTHOR
Sweeper Keeper
แม้ก่อนหน้านี้จะเคยผ่านงานเขียนบทความเกี่ยวกับ หนัง และ เพลง มาพอสมควร แต่ด้วยความที่ชอบดูฟุตบอลลีกอังกฤษ และมี ลิเวอร์พูล เป็นทีมโปรดในดวงใจ เขาจึงขอโอกาสมาแบ่งปันมุมมองด้านลูกหนังให้ได้อ่านกันบ้าง