จำได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อน บังเอิญเหลือบไปเห็นข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งทางหน้าจอทีวีว่า เกิดเหตุไฟฟ้าดับทั้งประเทศที่ เวเนซุเอล่า

ตามข่าวบอกว่า เหตุการณ์ไฟดับดังกล่าวกินพื้นที่กว่า 70% ของประเทศ และดับนานติดต่อกันเป็นสัปดาห์ จนทำให้ประชาชนที่นั่นเดือดร้อนอย่างหนัก

เพราะนอกจากไม่มีไฟฟ้าใช้ น้ำ และอาหารก็ขาดแคลน แถมการคมนาคม รวมทั้งระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอื่นๆ ก็ถูกตัดขาดอีกต่างหาก

พอเห็นข่าวนี้ ผมเลยนึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันที นั่นก็คือ Survival Family (2017) หนังซึ่งเล่าเรื่องการเอาตัวรอดของครอบครัวครอบครัวหนึ่งหลังจากเกิดเหตุไฟฟ้าดับทั้งเมืองโตเกียว

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในเช้าวันหนึ่ง เมื่อ โยชิยูกิ ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าไฟฟ้าในห้องพักของเขาดับ จากทีแรกที่คิดว่าไฟคงดับแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวทุกอย่างก็กลับมาปกติ

แต่กลับกลายเป็นว่าสถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าล้วนแต่ใช้การไม่ได้ทั้งสิ้น

พูดง่ายๆ ว่า พอไฟดับ ความวายป่วงทั้งหลายก็ประเดประดังตามมา ไล่ไปตั้งแต่ น้ำไม่ไหล ลิฟต์ใช้ไม่ได้ รถไฟฟ้าไม่ทำงาน รถยนต์ก็สตาร์ทไม่ติด (เพราะแบตเตอรี่รถยนต์ต้องใช้ไฟฟ้า) ระบบโทรศัพท์ก็ล่ม อินเตอร์เน็ตก็ไม่มีใช้

พออยู่ๆ ไปหลายวันเข้า อาหาร และ น้ำดื่ม ที่ซื้อตุนเอาไว้ก็เริ่มร่อยหรอ เกิดสภาวะ ข้าวยากหมากแพง เพราะสินค้าขาดตลาด จะซื้ออะไรทีต้องจ่ายหนักกว่าปกติ จนทำให้เงินสดที่ติดตัวอยู่เริ่มหมด ครั้นจะไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม หรือใช้บัตรเครดิต ก็ทำไม่ได้อีก

เมื่อเป็นเช่นนั้น โยชิยูกิ ก็เลยตัดสินใจพาครอบครัวของเขาหนีออกจากโตเกียวไปตายเอาดาบหน้าด้วยการ ปั่นจักรยาน!

ซึ่งการได้ออกเดินทางไกลร่วมกันในคราวนี้เอง ได้กลายเป็นภารกิจที่ โยชิยูกิ, ภรรยา, ลูกชาย และ ลูกสาว ต้องฟันฟ่า อุปสรรค และ ความยากลำบาก ทั้งหลายไปด้วยกัน จนทำให้จากเดิมที่แต่ละคนในครอบครัวดูไม่ค่อยจะลงรอยกันซักเท่าไหร่ กลับมาเข้าอกเข้าใจกันมากกว่าเดิมในท้ายที่สุด

Survival Family เป็นฝีมือการกำกับของ ชิโนบุ ยากูชิ (ที่คอหนังญี่ปุ่นบ้านเราน่าจะเคยรู้จักเขาจาก Adrenaline Drive, Waterboys, Swing Girls, Wood Job!) ซึ่งสามารถผสมผสานความเป็น ดราม่า, คอมมิดี้, โร้ด มูวี่ย์ และ ไซ-ไฟ เอาไว้ได้อย่างลงตัว

นอกจากจะได้ ตามลุ้น ตามเอาใจช่วย ให้ครอบครัวนี้เอาตัวรอดได้สำเร็จ เรายังรู้สึก ซาบซึ้ง ไปกับความรัก ความผูกพันซึ่งเกิดขึ้นระหว่างที่พวกเขาได้ออกเดินทางร่วมกันอีกด้วย

โดยส่วนตัวแล้ว สิ่งที่ชอบที่สุดใน Survival Family คือหลายๆ ฉากที่หนังพยายามตั้งคำถามกับคนดูว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตของเราคืออะไรกันแน่?

เพราะถ้าหากวันหนึ่ง เกิดไฟดับครั้งใหญ่แบบในหนังขึ้นมาจริงๆ หลายสิ่งหลายอย่างที่เราให้คุณค่าว่านี่คือสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เลยก็ได้

ใน Survival Family เราได้เห็นตัวละครหลายๆ ตัวหันมาใช้ จักรยาน เพราะ รถยนต์ กลายเป็นแค่กองเหล็กสี่ล้อที่เคลื่อนที่ไม่ได้

คอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์มือถือ ที่ต่อให้เราใช้รุ่นที่ราคาแพงแค่ไหน มันก็กลายเป็นของที่ไร้ค่าในบัดดล ถ้าวันหนึ่งเกิดไฟดับ อับสัญญาณ จนใช้การอะไรไม่ได้

หรือแม้กระทั่ง เงิน ที่คนเราพยายาม ดิ้นรน ขวนขวาย หามาไว้ในครอบครองให้มากที่สุด วันดีคืนดี อาจจะเอาไปใช้ซื้ออะไรไม่ได้อีกแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้?

มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมชอบมากเป็นพิเศษเลยก็คือ ฉากที่คุณป้าเจ้าของร้านขายข้าวสารไล่ตะเพิดคนที่เอา นาฬิกาหรู และ เสื้อผ้าแบรนด์เนม มาแลกข้าวสารออกจากร้านไป ด้วยเหตุผลว่า จะให้แลกไปทำไม ในเมื่อ นาฬิกา กับ เสื้อผ้า พวกนั้น กินไม่ได้!

ไม่เพียงแต่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับค่านิยมทางวัตถุเท่านั้น Survival Family ยังเป็นหนังที่พยายามชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ สถาบันครอบครัว อีกด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครก็ตามที่เดินทางจากบ้านเกิดมาสู้ชีวิตในเมืองใหญ่ หนังเรื่องนี้น่าจะช่วยเตือนใจให้ระลึกขึ้นมาได้ว่า…

อย่าลืมกลับไปหาใครบางคนที่เขากำลังรอคุณอยู่ที่บ้านบ้างนะ

เครดิตภาพ : https://www.japantimes.co.jp/

Copyright© Bsite.In