- Lifestyle
หรือ ลิเวอร์พูล จะเป็นแชมป์ด้วย “เกมรับ” ?!?
By Sweeper Keeper • on Oct 25, 2018 • 1,721 Views
แม้จะออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม
แต่ดูเหมือนว่าแฟนบอลหงส์แดงจำนวนไม่น้อยก็ยังไม่ค่อยปลื้มกับฟอร์มการเล่นในช่วงที่ผ่านมาซักเท่าไหร่
โดยเฉพาะในส่วนของ เกมรุก ที่หลายคนบ่นว่า ยังเล่นกันติดๆ ขัดๆ ไม่ไหลลื่นอย่างที่ควรจะเป็น จนยิงประตูไม่ได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนที่เคยทำได้ในฤดูกาลที่แล้วช่วงที่เกมรุกพีคๆ
แต่หากลองย้อนกลับไปดูผลงานเมื่อซีซั่นก่อน หลังจากเตะไปแล้ว 9 นัด ลิเวอร์พูล ยิงได้แค่ 14 ประตู ขณะที่ 9 นัดแรกในซีซั่นนี้พวกเขายิงไปแล้ว 16 ประตู
นั่นหมายความว่า จริงๆ แล้ว ในช่วง 9 นัดแรกของฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ยิงประตูได้มากกว่า 9 นัดแรกของฤดูกาลก่อนด้วยซ้ำ
เพียงแต่นั่นอาจไม่เป็นไปตามที่แฟนบอลคาดหวังเอาไว้ รวมถึงฟอร์มการเล่นของซุปตาร์ประจำทีมอย่าง โม ซาล่าห์ ก็ยังห่างไกลกับสิ่งที่เราเคยเห็นกันจนชินตาเมื่อฤดูกาลก่อน
ทั้งๆ ที่ เกมรุก ยังไม่เปรี้ยงปร้าง แต่ ลิเวอร์พูล ก็ยังตามไล่บี้ตำแหน่งจ่าฝูงกับแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อย่างสนุกสูสี ด้วย “เกมรับ” ที่ถูกยกระดับให้ดีขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา
ความพ่ายแพ้ ที่กลายเป็น จุดเปลี่ยน…
ซีซั่นที่แล้ว ลิเวอร์พูล ลงเล่นนัดที่ 9 ด้วยการบุกไปแพ้ให้กับ สเปอร์ส แบบยับเยิน 4-1 โดยหลังจบเกมนี้ ลิเวอร์พูล หล่นไปอยู่อันดับที่ 9 ของตาราง มีคะแนนตามหลัง แมนฯซิตี้ 12 คะแนน และเสียประตูไปแล้วถึง 16 ลูก
มาในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ลงเล่นเกมที่ 9 ด้วยการบุกไปเฉือน ฮัดเดอร์ฟิลด์ หวุดหวิด 1-0 ทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล รั้งตำแหน่งรองจ่าฝูง โดยมีคะแนนเท่ากับ แมนฯซิตี้ ที่ 23 แต้ม (แต่เป็นรองลูกได้-เสีย) ที่สำคัญก็คือ พวกเขาเพิ่งเสียประตูไปแค่ 3 ลูก เท่านั้น!!!
ดังนั้น คงจะไม่ใช่เรื่องเกินเลยอะไรถ้าจะบอกว่า เกมที่แพ้แบบหมดรูปให้กับ สเปอร์ส เมื่อปีก่อน คือ “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ซึ่งเคยเป็นทีมที่พร้อมจะเสียประตูได้ทุกเมื่อ เปลี่ยนสถานะตัวเองให้ขึ้นมาเป็น ทีมที่เสียประตูยากที่สุดทีมหนึ่งของลีก
เพราะหลังจากเกมนั้นเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล เสียประตูไปเพียง 25 ลูก จากการลงเล่นไป 38 เกม ซึ่งถ้านับเฉพาะแค่ฤดูกาลนี้ นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 126 ปีตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ที่ทีมเสียประตูไปแค่ 3 ลูก จากการออกสตาร์ท 9 นัดแรก!
การเข้ามาของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค
“จุดเปลี่ยน” อีกจุดหนึ่ง ที่ทำให้ “เกมรับ” ซึ่งเคยเป็น จุดอ่อน กลายเป็น จุดแข็ง ของทีมได้อย่างทุกวันนี้ก็คือ การเข้ามาของกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค
นับตั้งแต่กัปตันทีมชาติฮอลแลนด์รายนี้ย้ายมาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ทำสถิติเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดของพรีเมียร์ ลีก โดยเสียไปแค่ 16 ลูก (ในขณะที่ แมนฯซิตี้ เสีย 17 ลูก, สเปอร์ส เสีย 22 ลูก, แมนฯยูไนเต็ด เสีย 28 ลูก และ เชลซี เสีย 29 ลูก)
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม เหล่าเดอะค็อปทั้งหลายถึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า 75 ล้านปอนด์ ที่จ่ายเป็นค่าตัวของ ฟาน ไดจ์ค นั้น ‘คุ้มค่า’ ทุกเพนนี
อัพเกรด แผงแบ็คโฟร์ ด้วยกองหลังเกรดเอ!
การได้ ฟาน ไดจ์ค มายืนบัญชาการ “เกมรับ” นั้น มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ แบ็คโฟร์ ของ ลิเวอร์พูล ทั้งแผง ยกระดับฟอร์มการเล่นของตัวเองขึ้นมา
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ เดยัน ลอฟเรน …
หากจำกันได้ นักเตะที่กล้าชมตัวเองว่าเป็นกองหลังระดับเวิลด์คลาสคนนี้แหละ ที่เล่นผิดพลาดในเกมพ่าย สเปอร์ส แบบเละเทะ จนทำให้เขาเกือบหมดอนาคตกับทีมไปแล้วเมื่อปีก่อน
แต่หลังจากที่ได้รับโอกาสให้จับคู่กับ ฟาน ไดจ์ค ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค ลอฟเรน ก็กลับมาเล่นด้วยความมั่นใจอีกครั้ง จนมีส่วนในการพา ลิเวอร์พูล เข้าชิงถ้วยแชมเปี้ยน ลีก รวมถึงช่วยให้ทีมชาติโครเอเชียทะลุเข้าชิงฟุตบอลโลกด้วย
ยิ่งมาในฤดูกาลนี้ที่ได้ อลิสซอน เบ็คเกอร์ มาเป็นนายประตูมือหนึ่งด้วยอีกคน ก็ยิ่งทำให้ “เกมรับ” ของ หงส์แดง ไม่ถูกคู่ต่อสู้เจาะประตูแบบง่ายๆ เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
จริงอยู่ที่ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา มีหลายนัดที่ ลิเวอร์พูล ยังโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะแนวรุกที่ดูฝืดๆ ยังประสานงานกันไม่ค่อยลงล็อค
แต่ในวันที่เล่นไม่ได้ดั่งใจ ก็ยังได้ “เกมรับ” ที่เหนียวแน่นนี่แหละ ช่วยประคองให้ทีมได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ
บางเกมที่เกือบแพ้ ก็กลายเป็นเสมอ บางเกมที่เกือบเสมอ ก็กลายเป็นชนะ
ซึ่งนี่แหละ คือ หนึ่งในคุณสมบัติที่ทีมลุ้นแชมป์จะต้องมี!
เครดิตภาพ : www.foxsportsasia.com, www.espn.com
Copyright© Bsite.In
ABOUT THE AUTHOR
Sweeper Keeper
แม้ก่อนหน้านี้จะเคยผ่านงานเขียนบทความเกี่ยวกับ หนัง และ เพลง มาพอสมควร แต่ด้วยความที่ชอบดูฟุตบอลลีกอังกฤษ และมี ลิเวอร์พูล เป็นทีมโปรดในดวงใจ เขาจึงขอโอกาสมาแบ่งปันมุมมองด้านลูกหนังให้ได้อ่านกันบ้าง