รวยแล้วยังรวยไปอี๊ก!! สำหรับ Jeff Bezos ที่นอกจากจะขึ้นอันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกไปแล้ว ล่าสุดบริษัทของเขา Amazon ก็เข้าร่วมแก๊งบ้านรวย ร่วมกับ Apple ด้วยการเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์!! แล้วจ้า

หลังจากตลาดสหรัฐฯ เปิดทำการวันที่ 4 กันยายน (ตามเวลาท้องถิ่น) ก็ปรากฏว่า Amazon สามารถทำมูลค่าตลาดได้ผ่านเข้าสู่หลัก 1 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นที่เรียบร้อย เดินตามหน้ารุ่นพี่เทคคอมพานีอย่าง Apple ซึ่งแตะหลักล้านล้านไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นการก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วของ Amazon อย่างมาก เรียกได้ว่าอาจพอสะท้อนถึงอนาคตของอี-คอมเมิร์ซที่สดใส และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น

ตรงข้ามกับธุรกิจห้างสรรพสินค้าที่มีอาคารสถานที่ เช่น วอลล์มาร์ท หรือทอยส์อาร์อัสที่เพิ่งปิดตัวไป เพราะกำลังถูกแทนที่ด้วยพฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์ถึง 90%

เป็นเวลาหลายปีที่นักลงทุนจับตาการขยับขึ้นของหุ้นของ Amazon ว่าจะทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามองย้อนกลับไปแทบจะเป็นบริษัทที่ไม่ได้มีอะไร ปราศจากตึกอาคาร มีเพียงการเป็นศูนย์กลางเป็นเครือข่ายคลังสินค้าขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ก็สามารถก้าวกระโดดด้วยการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และแต่ละปีแต่ละปี Amazon ก็สามารถทำกำไรได้เรื่อยๆ

ย้อนกลับไป ต้นปี 2018 Amazon สามารถสร้างมูลค่าได้ถึง 5.8 แสนล้านดอลลาร์ ต่อมาในไตรมาสที่สอง (ปีเดียวกัน) บริษัทสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีก 2.5 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สองของปี 2017 ก็มากกว่าเดิมถึง 197 ล้านดอลลาร์

ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ตัวเว็บไซต์ของ Amazon เองก็ยังสามารถผลักดันรายได้จากการโฆษณาได้ดีอีกด้วย ด้วยการสร้างรายได้จากการเป็น Prime membership subscriptions (การเป็นสมาชิกที่ลงชื่อระดับไพรม์) ได้ผลกำไรเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม แม้จะประสบคยวามสำเร็จขนาดนี้ หลายฝ่ายก็ยังมองว่า Alibaba อีคอมเมิร์ซ มังกรยักษ์ใหญ่ของ “แจ๊ค หม่า” ก็ยังคงเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ Amazon อยู่ดี เพราะนอกจากครองตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีการคอนซูมอย่างมหาศาลที่สุดของโลกแล้ว ในการบุกตลาดใหม่ๆ Alibaba ก็ยังทำได้ดี โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นตลาดที่ใหญ่มากแต่เป็นตลาดที่ยังมีการเติบโตไปได้อีกไกลมากทีเดียว ซึ่งพื้นที่นี้อาจเป็นจุดพลิกสำคัญของ Alibaba ก็เป็นได้ เราจึงไม่ควรพลาดทุกก้าวเลยทีเดียว.

เครดิตภาพ Time, nationofchange.org

Source : Money.cnn.com