สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ ดินแดนที่ผู้คนมีสิทธิเลือกอนาคตของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะไปใครมาจากไหน คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ในที่แห่งนี้ นั่นคือหน้าฉากอันสวยหรู
แต่หลังม่านผืนใหญ่กลับมีรอยร้าวที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถประสานได้แนบสนิท ทั้งการแบ่งแยกเชื้อชาติ และการเหยียดสีผิว หลายฝ่ายพยายามออกมารณรงค์ต่อต้านกันมากมาย แต่เมื่อตำแหน่งประธานาธิบดีเปลี่ยนมือ ไฟเรื่องนี้โหมกระหน่ำขึ้นอีกครั้ง!
หนึ่งในวงการที่พยายามวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้อย่างเผ็ดร้อนและต่อเนื่อง คงหนีไม่พ้น วงการฮอลลีวู้ด กับการผลิดหนังที่พยายามปลุกกระแสเพื่อลดการเหยียดสีผิว เมื่อต้นปี 2018 ที่ผ่านมา นับเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่กระแสของความเท่าเทียมกลายเป็นประเด็นที่พูดถึงอย่างหนาหู ผ่านภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ผิวสีเต็มรูปแบบเรื่องแรกอย่าง Black Panther ที่ชักชวนเอาเหล่าชาวแอฟริกันอเมริกันออกมาแสดงตัวตนและพื้นเพของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
กระทั่งภาพยนตร์ระทึกขวัญภาคต่อ The First Purge ก็เลือกนักแสดงนำ และแก่นเรื่องราวเป็นความไม่เท่าเทียม ความยากจน และการเหยียดผิวมาเป็นประเด็นหลัก แม้การนำเสนออาจจะขาด ๆ เกิน ๆ ไปบ้าง แต่ตัวภาพยนตร์ก็แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่อยากจะสื่อสารประเด็นนี้ออกไป
Blindspotting ที่นี่… ประเทศไหน
จนในสัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศไทยเราเพิ่งจะถึงกำหนดฉายของ Blindspotting ที่นี่… ประเทศไหน ภาพยนตร์ที่เดินหน้ากวาดเสียงชมและคำวิจารณ์ในแง่บวกในระดับดีเยี่ยม กับการตีแผ่สังคมและวัฒนธรรมความไม่เท่าเทียมและการเลือกปฏิบัติต่อคนผิวสีอย่างเผ็ดร้อน และไม่มีการอ้อมค้อมใด ๆ
ภาพยนตร์เรื่องนี้เลือกประเด็นการกระทำเกินกว่าเหตุของตำรวจผิวขาวที่สังหารคนผิวสีในระหว่างปฏิบัติงาน สะท้อนประเด็นการเลือกปฏิบัติ และการเหมารวมอย่างร้ายกาจ ด้วยภาพของคนผิวสีที่ถูก Stereotype ให้ถูกตัดสินไว้ก่อนว่าเป็นอาชญากร สะท้อนความไม่เท่าเทียมของกระบวนการยุติธรรม สะท้อนไปถึงการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวของชาวผิวสี ที่ต้องหวาดระแวงทุกครั้งเมื่อเห็นรถยนต์สายตรวจขับผ่าน
เหตุการณ์สำคัญที่เป็นสาเหตุของเรื่อง คือ เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทของตัวเอกที่เป็นคนผิวสี กับเพื่อนของเขาที่เป็นชาวผิวขาว ทะเลาะต่อยตีกับชายผิวขาวคนหนึ่ง แต่ผลปรากฎว่าตัวเอกที่เป็นชาวผิวสีถูกตัดสินโทษให้จำคุก พร้อมติดทัณฑ์บนอีก 1 ปี ในขณะที่เพื่อนชาวผิวขาวของเขาไม่ถูกดำเนินคดีใด ๆ หรือการเสนอภาพของคนผิวขาวที่พยายามสร้างตัวตนให้ตัวเองกลมกลืนกับชาวผิวสี เพื่อหลีกเลี่ยงความแปลกแยก หรือการกลายเป็นอื่น จนทำให้เขาไม่สามารถกลับเข้าสู่สังคมของชาวผิวขาวได้อีกต่อไป
โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์ของเรื่อง กับการระเบิดอารมณ์ของตัวเอกที่เป็นชาวผิวสี หรือ คอลลิน (รับบทโดย Daveed Diggs) ที่บทพูดความยาวเกือบ 5 นาทีเป็นท่อนแร็ป (OMG.) ระเบิดอารมณ์ความรู้สึก ทั้งความอัดอั้น การถูกไล่ต้อน และความโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างหนักหน่วง ตีแผ่ภาพสังคมชาวผิวสีที่ถูกกดขี่ออกมาอย่างร้อนแรง ราวกับสาดน้ำเย็นใส่หน้าอเมริกันชนจนชากันไปทุกแถบ ก่อนจะสรุปจบเรื่องราวในภาพยนตร์ด้วยการกลับไปใช้ชีวิตดังเดิม ราวกับตอกย้ำว่าท้ายที่สุดแล้ว…
ไม่ว่าคนผิวสีจะทุกข์ทรมานมากเพียงไหน จะตีแผ่นำเสนอหรือกระตุ้นอย่างไร
เสียงแห่งความเจ็บปวดนี้ก็ไม่มีวันถูกได้ยิน
Blindspotting อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ที่สะท้อนสภาพสังคมได้ทั่วโลกจนทำให้คนไทยอย่างเราสามารถสัมผัสได้ แต่หากมองในแง่ของการเลือกปฏิบัติ ความเท่าเทียม และการแบ่งแยกเชื้อชาติแล้ว มันเป็นเรื่องราวของมนุษยชาติทั่วโลก ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่เราจะไม่เอาความแตกต่างมาเป็นตัวตัดสินคุณค่าของบุคคล ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นจุดบอดที่ถูกละเลย ไม่มีใครรู้ว่าเวลาที่ว่าจะมาถึงเมื่อไร หรือมันอาจจะไม่มีวันมาถึง…
Blindspotting ที่นี่…ประเทศไหน ผลงานการกำกับของ Carlos López Estrada นำแสดงโดย Daveed Diggs และ Rafael Casal ตอนนี้เดินหน้ากวาดรางวัลไปแล้ว 4 เวที หนึ่งในนั้นคือรางวัลปาล์มทองคำ ปี 2018 พร้อมทั้งเป็นอีกหนึ่งตัวเต็งเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์ แม้ว่าอาจจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์น้อยไปสักหน่อย แต่นี่คืออีกเรื่องที่เราอยากแนะนำให้คนรักหนังได้ชม
Copyright© Bsite.In
ABOUT THE AUTHOR
DiamondP
คนอยากเขียน กับความสนใจเยอะแยะ และเราเชื่อว่า คนทุกคนเท่าเทียมกัน